กิฟฟารีน giffarine www.no-poor.com
ธุรกิจเสริม กิฟฟารีน
กิฟฟารีน ธุรกิจเสริม อาชีพเสริม รายได้เสริมออนไลน์ ปรึกษาเรา ตรวจสอบดวงชะตา ศึกษาพลังธาตุในตัวคุณ วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน ภาวะผู้นำและลักษณะงานที่เหมาะกับคุณ ก่อนเริ่มธุรกิจ-คุยกับเราที่ no-poor.com

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"นายกฯอภิสิทธิ์" บิ๊กเซอร์ไพรส์! เปิดงาน "วันเกียรติยศนักขายตรงไทย"ครั้งที่ 9 ชมเปาะ! "ขายตรง"

ธุรกิจสร้างสรรค์ ช่วยเศรษฐกิจ-พัฒนาประเทศชาติ ลั่น!พร้อมให้กำลังใจนักขายทั่วประเทศร่วมฝ่าวิกฤต เรียกเสียงเฮ 3,000 ชีวิต สนั่นฮอล แนะต่อทุกคนต้องร่วมมือปราบเหลือบธุรกิจ สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจให้ดีขึ้น "พญ.นลินี" นายกสมาคมฯ เผย 26ปีของการก่อตั้ง สุดภูมิใจสร้างคนดีมีรายได้หลายล้านคนทั่วไทย ให้คำมั่น สมาคมฯพร้อมเดินเคียงข้างนักขายตรง เดินหน้ายกระดับทัดเทียมนานาชาติ
โดยมีนักขายตรงเข้าร่วมรับโล่เกียรติยศ รางวัล "นักขายตรงดีเด่น" จำนวน 79 รหัส 107 ท่าน จากบริษัทสมาชิก 28 บริษัท และและมีนักขายตรงมาร่วมแสดงพลังและศักยภาพ มากกว่า 3,000 คน ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม ชั้น 2 คอนเวนชั่นฮอลล์ (ตึกฮอลล์9) เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ทั้งนี้ภายในงานดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงาน และ ร่วมปาฐกถาภายใต้หัวข้อ "เศรษฐกิจสร้างสรรค์กับธุรกิจขายตรง" โดยกล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติให้มาร่วมเปิดงาน วันเกียรติยศนักขายตรงไทยประจำปี 2552 ได้มาเห็นการรวมพลครั้งใหญ่ของสมาชิกนักขายตรงไทยในวันนี้
สำหรับธุรกิจขายตรงนั้น ถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และการพัฒนาของประเทศ เป็นธุรกิจที่มีความเคลื่อนไหวและมีสีสันในวงการเศรษฐกิจโลก ปัจจุบันมีสินค้าเป็นจำนวนมากที่ขายผ่านธุรกิจขายตรง ซึ่งเป็นรูปแบบการค้าในเชิงสร้างสรรค์ประการหนึ่ง เพราะถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้มีทางเลือกในการซื้อมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ได้ช่วยให้ผู้ที่สนใจอยากมีธุรกิจของตนเอง เริ่มต้นได้ง่ายขึ้นด้วย
ธุรกิจขายตรงมีการขยายตัวเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีการประมาณการณ์กันว่า ยอดขายทั่วโลกในปัจจุบันนั้น เป็นจำนวนเงินมากถึง 102,000 พันล้านดอลล่าสหรัฐ หรือมากกว่า 3 ล้านล้านบาท และมีพนักงานขายตรงมากกว่า 58 ล้านคน สำหรับประเทศไทยนั้น ก็มัการประมาณการณ์ว่า ปัจจุบันยอดขายรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ส่วนสมาชิกไม่ต่ำกว่า 9 ล้านคน ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าธุรกิจขายตรง สามารถกระจายสินค้า สร้างโอกาส สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงให้กับคนได้จำนวนมาก จึงถือเป็นความสำเร็จและเป็นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนจำนวนมากเช่นกัน
"ผมทราบดีว่าในช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอันเนื่องมากจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา กลับยังมีสมาชิกเข้ามาประกอบอาชีพขายตรงเพิ่มมากขึ้น ถึงร้อยละ20 และทราบจากท่านนายกสมาคมการขายตรงไทยว่า ธุรกิจนี้ก็ยังคงมีอัตราเจริญเติบโตในปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นการยืนยันว่า ธุรกิจน่าจะมีทิศทางแนวโน้มไปในทางบวก แม้ว่าในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ธุรกิจขายตรงก็ยังคงเป็นทางเลือกสำคัญของหลายๆฝ่าย ผมก็ขอถือโอกาสนี้เป็นกำลังให้กับทุกๆท่าน ในการที่จะฝันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ไปด้วย" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ทางด้าน พญ.นลินี ไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย และ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า "ในฐานะของนายกสมาคมฯ ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ทุกคนได้เห็นมารวมพลอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ที่จริงแล้วตนอยากจะเรียนท่านนายกรัฐมนตรีว่า นี่เป็นเซอร์ไพรส์ที่ทางสมาคม ยังไม่ได้บอกผู้เข้าร่วมงานในวันนี้ เพราะ ตั้งใจจะให้เป็นของขวัญชิ้นพิเศษกับทุกคนอย่างแท้จริง ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 2 อย่าง อย่างแรก คืออยากให้ท่านนายกฯให้กำลังใจพวกเราชาวขายตรง และประการที่สองพวกเราทุกคนในห้องนี้ พร้อมที่จะให้กำลังใจท่านนายกรัฐมนตรีเช่นกัน"
ทั้งนี้สิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจในสมาคมการขายตรงไทยก็คือ การคัดกรองสมาชิกที่เข้าร่วมในสมาคมอย่างดีที่สุด โดยจะต้องสามารถปฎิบัติตามจรรยาบรรณ ของสมาพันธ์การขายตรงโลก สามารถปฏิบัติตามพรบ.ขายตรงฯ ซึ่งทางสคบ.เป็นผู้ดูแล ต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคยอมรับในราคาที่ยุติธรรม ดูแลผู้บริโภคอย่างดีที่สุดและพร้อมที่จะดูแลนักธุรกิจเครือข่าย ให้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลทีมงานและสังคม มีแผนการดำเนินธุรกิจที่ไม่สร้างความกดดันให้กับประชาชน ไม่ระดมทุนและไม่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ
"เรายังได้สร้างคนไทยที่ดีๆนับล้านคน คนไทยที่ดีๆที่จะมีรายได้เพิ่ม บางท่านอาจจะทำธุรกิจขายตรงเป็นรายได้หลักของชีวิต แต่บางท่านก็อาจจะทำธุรกิจขายตรงเป็นรายได้ที่สอง ที่ทำนอกเหนือจากงานประจำ เขาเหล่านั้นเป็นความภาคภูมิใจของทุกๆบริษัทสมาชิก เขาเหล่านั้นคือคนที่มีกำลังใจ ที่เข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดูแลครอบครัว เป็นอย่างดี และสอนลูกๆให้เป็นคนดี เป็นคนที่ไม่เป็นภาระต่อประเทศชาติ รัฐบาลและสังคม พร้อมที่จะเป็นหน่วยหนึ่งของคนไทย ที่จะร่วมกันรับผิดชอบและดูแลประเทศชาติ อันเป็นที่รักของเราอย่างเข้มแข็งตลอดไป
อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 7 ฉบับที่ 167 ปักษ์แรก ประจำวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2552
http://www.mlm.in.th/‘นายกฯ’เซอร์ไพรส์งาน‘TDSA’-ลั่นรบ.หนุนขายตรงโตช่วยศก.html
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กิฟฟารีน Giffarine: The Branding Project ปั้นฝัน

นักสร้างแบรนด์ เฟ้นหาคนกล้า พิชิตเงินสด และรางวัลรวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท พญ. นลินี ไพบูลย์ (คนกลาง)ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด บริษัทขายตรงหลายชั้นอันดับ 1 ของคนไทย จัดโครงการประกวด Giffarine: The Branding Project เฟ้นหานักสร้างแบรนด์ตัวจริง ภายใต้หัวข้อ “การสร้างแบรนด์กิฟฟารีนในทศวรรษหน้า” ชิงโล่เกียรติยศนายกรัฐมนตรี เงินรางวัล และของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1,000,000 บาท โดยภายในงานได้รับเกียรติจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รองศาสตราจารย์ ดร. เสรี วงษ์มณฑา (ที่3จากขวา) , อาจารย์ ชลิต ลิมปนะเวช (ที่3จากซ้าย) คุณพงศ์พสุ อุณาพรหม (คนขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด พร้อมด้วยวิทยากรพิเศษ คุณปีเตอร์ ทวีผลเจริญ (คนซ้าย) ผู้บริหารโดนัทแบรนด์ไทย แด๊ดดี้ โด , คุณกรณ์ ณรงค์เดช (ที่2จากซ้าย) ผู้บริหารจากกลุ่มธุรกิจ KPN และคุณอัจฉรา บุรารักษ์ (ที่2จากขวา) ผู้บริหารไอศกรีม iberry เข้าร่วมงาน ณ อินฟินิตี้ ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อเร็วๆนี้ กิฟฟารีนทุ่มปั้นแบรนด์รุกคนรุ่นใหม่ “"กิฟฟารีน"เดินหน้าสร้างแบรนด์เทงบ 4 ล้านบาท จัดโครงการประกวดเฟ้นหานักสร้างแบรนด์รุ่นใหม่ หวังเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มนักศึกษาและคนรุ่นใหม่มากขึ้นกิฟฟารีนรุกสร้างแบรนด์ ปั้นโปรเจคค้นหานักสร้าง "กิฟฟารีน" รุกสร้างแบรนด์ ทุ่ม 4 ล้าน จัดประกวด "ค้นหานักสร้างแบรนด์ตัวจริง" หวังขยายฐานกลุ่มนักศึกษา คนรุ่นใหม่ เผยหลังจากยิงหนังโฆษณา 7 ชุดรวด ดันยอดสมาชิกใหม่พุ่ง 5 หมื่นคนต่อเดือน ขณะที่ยอดขาย 9 เดือนโต 9% มั่นใจสิ้นปีรายได้ทะลุ 4.6พันล้าน กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการประกวดแผนงานการสร้างแบรนด์กิฟฟารีน ในโครงการ ค้นหานักสร้างแบรนด์กับ Giffarine : The Branding Project บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เป็นบริษัทขายตรงหลายชั้นอันดับ 1 ของคนไทย มีความยินดีขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน ให้เกียรติเข้าร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการประกวดแผนงานการสร้างแบรนด์ กิฟฟารีน ใน โครงการ “ค้นหานักสร้างแบรนด์กับ Giffarine : The Branding Project” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริม และมอบประสบการณ์เกี่ยวกับการเรียนรู้การสร้างแบรนด์ให้กับนักศึกษาผ่านรูปแบบการประกวด โดยได้รับเกียรติจากพญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ขึ้นให้เกียรติให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ และพบกับ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา คุณสงกรานต์ เตชะณรงค์ ผู้บริหารโบนันซ่า เขาใหญ่ คุณสันต์ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหารบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด คุณกรณ์ ณรงค์เดช ประธานกรรมการบริหารบริษัท เคพีเอ็น อวอร์ด จำกัด คุณอัจฉรา บุรารักษ์ เจ้าของธุรกิจไอศครีม iberry และคุณปีเตอร์ ทวีผลเจริญ ผู้บริหารโดนัทแบรนด์ไทย แด๊ดดี้ โด วิทยากรรับเชิญของโครงการ กิฟฟารีนเปิดเกมบุกแฮร์แคร์ส่ง เอสแปร์โต้ รับทำสีผมบูม "กิฟฟารีน" ขยับตัวรับ ศก.ฟื้นตัว นำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมสำหรับผมทำสี "เอสแปร์โต้ บาย กิฟฟารีน" จับกลุ่มบี ร้านทำผมตลาด ควักกระเป๋า 15 ล้านอัดโฆษณา กิจกรรมแจ้งเกิดกิฟฟารีนบุกแฮร์แคร์เจาะกลุ่มคนทำสีผม ชี้ศก.ฟื้นยอดเข้าเป้าพญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะรุกตลาดผลิตภัณฑ์เส้นผมหรือแฮร์แคร์มากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ มากและมีมูลค่าตลาดรวมสูงกว่าเครื่องสำอาง นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมของคนไทย 70 80% ชอบการทำสีผม และโดยเฉลี่ยจะทำสีผมทุก 2 3 เดือน
ไทยซูเปอร์ฯ 2009 สานฝันนางแบบรุ่นใหม่
สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 และ ผลิตภัณฑ์สก๊อต ชูการ์ ฟรี พร้อมด้วย 4 ผู้สนับสนุนหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผมแพนทีน ผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ผลิตภัณฑ์นีเวียบอดี้ ยูวี ไวท์ รีแพร์ และ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ เปิดรันเวย์ของสาวมั่นเพื่อค้นหาดาวดวงใหม่ประดับวงการนางแบบ กับการประกวด ไทยซูเปอร์โมเดลคอนเทสต์ 2009 ซึ่งดำเนินการรับสมัครและคัดเลือกในรอบแรกเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ เซ็นทรัลเวิลด์ โซนเซ็นทรัลคอร์ต
กิฟฟารีนฝ่าวงล้อมแนวรบขายตรงเพิ่ม อินเซนทีม จูงใจสมาชิก-เร่งผุดศูนย์ไลเซนส์
ขายตรงคึกคัก ค่ายใหญ่เปิดเกมงัดอินเซนทีฟจูงใจสมาชิก ดันยอด ล่าสุดถึงคิว "กิฟฟารีน" เพิ่มผลตอบแทนมัดใจสมาชิก "หมอต้อย" เผยเห็นสัญญาณดีเศรษฐกิจ กำลังซื้อดีดกลับ ทุ่มงบฯ อัดโฆษณาช่วยกระตุ้นอีกทาง
หวัดดันยอดสินค้าเสริมอาหารกิฟฟารีนพุ่ง
ไข้หวัดใหญ่ 2009 ดันยอดขายกิฟฟารีนพุ่ง เผยฟ้าทะลายโจร เจลล้างมือเกลี้ยงสต็อก พร้อมอัดงบกว่า 80 ล้านเปิดโฆษณาใหม่ 7 เรื่องกระตุ้นธุรกิจครึ่งปีหลัง หวังดันรายได้โตตามเป้า 10%
สมุนไพรแก้หวัดช่วยดันยอดขายกิฟฟารีน
กิฟฟารีน ยอด 7 เดือนแรกยังไม่ถึงเป้า ดีได้สมุนไพรแก้หวัดช่วยเร่งเครื่องอัด 80 ล้าน ผุดโฆษณา 7 เรื่องกระตุ้นยอดครึ่งหลัง พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการบริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ เปิดเผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 8% หรือมียอดขายรวม2,400 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโต 10 15%
ตื่นหวัดใหม่ 2009 แห่ซื้อฟ้าทลายโจรกิฟฟารีน
นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผย ยอดขายสินค้าอาหารเสริมป้องกันหวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยเฉพาะฟ้าทลายโจร เติบโตได้สูงมากถึงเดือนละ 20,000 กล่องต่อเดือน จากปกติขายได้เดือนละ 5,000 7,000 กล่องต่อเดือน ปัจจุบันสินค้าขาดตลาดไปแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ คาดว่าในเร็วๆ นี้ จะผลิตสินค้าได้มากขึ้นเพียงพอกับความต้องการภายในประเทศได้ โดยสินค้าของบริษัทจะมีราคาขาย 52 บาท ต่อกล่องถือว่าราคาถูกเมื่อเทียบกับรายอื่น
กิฟฟารีนโกยฟ้าทลายโจร 300%
"กิฟฟารีน" โกยอาหารเสริมฟ้าทลายโจรพุ่ง 3 เท่า เร่งสินค้าใหม่เพิ่ม ยิ้มรายได้ฟื้นเข้าเป้า 10% ด้าน "แอ๊บบอต" รีบส่งวิตามินซี ดันยอดขายสิ้นปีโต 10% ลุ้นปรับเป้าเพิ่มเป็น 15%
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก,หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ,หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ ,หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ,หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ,หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ,หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ , www.ThaiPR.net,www.ryt9.com
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ นักขายตรงหมื่นล้าน พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ นักขายตรงหมื่นล้าน

“กิฟฟารีน” ภายใต้การบริหารของ “พ.ญ.นลินี ไพบูลย์” ด้วยแนวคิด และวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ จนวันนี้แบรนด์ “กิฟฟารีน” สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Mass สร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยที่มาแรง สามารถชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่างน่าจับตามอง ชื่อของ “พ.ญ.นลินี” จึงกลายเป็นแบรนด์ของผู้หญิงเก่ง ที่ไม่มีนักธุรกิจคนไหนที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเธอ ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่วันหนึ่งต้องหย่าร้าง และเลี้ยงลูกเพียงลำพัง อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนนั้นหมดหวัง แต่สำหรับ “พ.ญ.นลินี ไพบูลย์” ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ตรงกันข้าม จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งนั้นทำให้พลังของ “พ.ญ นลินี” ล้นเหลือกว่าที่หลายคนคิด เข้าถึงใจลูกค้า “พ.ญนลินี” รู้ว่าคุณสมบัติความเป็นแพทย์ และประสบการณ์จากการเปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไป และผิวหนัง บวกกับประสบการณ์ธุรกิจขายตรงในแบรนด์ “สุพรีเดอร์ม” เมื่อครั้งยังไม่ได้หย่าจากสามี เพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานให้ “หมอนลินี” หรือ “หมอต้อย” รู้ความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยรับผิดชอบหรือทำธุรกิจด้วยตัวเอง เส้นทางนักธุรกิจของพ.ญ.นลินี จึงดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้ยิ่งต้องค้นหาความรู้ทั้งจากตำรา และการเข้าชั้นเรียนเพื่อเสริมความรู้ด้านธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น แม้ในช่วงแรกจะมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้างอยู่บ้าง เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มถดถอยก่อนปี 2540 ซึ่งเป็นการยากที่แบรนด์ใหม่จะแจ้งเกิดในตลาด แต่เสียงความมุ่งมั่นของพ.ญ.นลินีดังกว่า ทุกคนต้องการ “ความสวยงาม” และ “ความมั่นคง” ของชีวิต คือคำตอบที่เข้าถึงความรู้สึกคนทุกคนมากที่สุด จากจุดนี้จึงต่อยอดให้ “กิฟฟารีน” แบรนด์ขายตรงที่ “พ.ญ.นลินี” สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 2538 ยืนได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยในปี 2540 พังครืนจากค่าเงินบาทลอยตัว และคนว่างงานกันมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขายตรงเป็นทางออกของบางคนในช่วงนั้น หาจุดต่างแจ้งเกิด ด้วยความที่กิฟฟารีนเป็นสินค้าแบรนด์ไทย ขณะที่มีสินค้าแบบเดียวกันเป็นแบรนด์จากต่างประเทศทำตลาดอยู่มาก สนามที่พ.ญ.นลินีต้องลงแข่งขันจึงไม่ธรรมดา โจทย์ที่ต้องหาคำตอบ คือการหาจุดต่าง การใช้จุดต่าง (Differentiation) ในการวาง Positioning ของสินค้า เป็นสูตรที่หลายๆ สินค้าและบริการนำมาใช้เสมอ “กิฟฟารีน” ก็เช่นกันที่ต้องหาจุดต่าง และเนื่องจากเป็นธุรกิจขายตรง จุดต่างจึงต้องมีใน 2 ส่วน คือผลิตภัณฑ์ที่เสนอต่อลูกค้า และระบบบริหารเครือข่าย พ.ญ.นลินีบอกว่า “ความเป็นหมอสอนไว้ว่า ไม่ให้เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อต้องเริ่มต้นบอกกับลูกค้า กิฟฟารีนเลือกวิธีชี้แจงส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ ทำให้ไม่มีข้อโต้แย้งได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนต่างจากแบรนด์อื่น” ส่วนความต่างที่ให้กับสมาชิกเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายจำนวนมาสมาชิกที่ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า คือ นอกจากให้ส่วนแบ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแล้ว ยังให้ความรู้สึกแก่สมาชิกว่าเป็นเสมือนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สามารถรับรู้รายจ่าย รายได้ของบริษัทอีกด้วย สูตรบริหาร หากถามถึงหลักการทำงานแล้ว พ.ญ.นลินีบอกว่ามี 2 หลักใหญ่ หลักการแรกคือความระมัดระวัง เมื่อมีข้อผิดพลาด ให้เร่งหาสาเหตุโดยเร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุด “เมื่อเราไม่ได้มีพื้นฐานทางธุรกิจมาก่อน เวลาทำก็ต้องบริหารจัดการงานด้วยความระมัดระวัง เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราเริ่มกิจการจากกิจการเล็กๆ เริ่มต้นจากศูนย์ จึงต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ เติบโต เรียนรู้ปัญหา ข้อผิดพลาด เรียกได้ว่าเติบโตจากการเรียนผิดเรียนถูก ข้อบกพร่อง Trial and Error และต้องตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นต้องรีบแก้ไข หาสาเหตุให้เร็วที่สุด” หลักการที่สองพ.ญ.นลินีใช้หลักจิตวิทยา ในการบริหารบุคลากร และเครือข่ายของกิฟฟารีน ด้วยหลักการคิดที่ว่าทำให้คนที่ทำงานด้วยมีความสุข เห็นใจซึ่งกันและกัน คิดถึงใจคนที่มาอยู่ด้วยกัน ให้เขาเติบโต และมีความเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน เติบโตไปด้วยกัน ไม่ Centralize ที่ตัวเอง ต้องรู้ว่าคนทำงานกับเรา เขาต้องการอะไรและรับฟังความคิดเห็นของเขา ส่วนจะมีบ้างหรือไม่สำหรับพ.ญ.นลินีที่เกิดความรู้สึกท้อแท้ คำตอบโดยอัตโนมัติจากพ.ญ.นลินี คือไม่เคยท้อ ปัญหาที่เข้ามาถือเป็นความท้าทาย อุปสรรคที่เข้ามาต้องรีบคิดหาสาเหตุและแก้ไขให้ได้ ส่วนกำลังใจที่สำคัญคือมาจากครอบครัว และความที่ต้องรับผิดชอบต่อคนจำนวนมาก สวยปิ๊งเสริมแบรนด์ เมื่อเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามและสุขภาพ พ.ญ.นลินีบอกว่าการวาง Positioning ตัวเองเพื่อให้สะท้อนแบรนด์สินค้าเป็นสิ่งจำเป็น “บุคลิกเราเป็นแบรนด์เหมือนกัน ธุรกิจเราต่างจากธุรกิจค้าปลีก Consumer Product ทั่วไป เราต้องแสดงความเป็นธุรกิจขายตรง และเครือข่าย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตัวเราเป็นจะบ่งบอกถึงสินค้าของเรา เมื่อเราเป็นธุรกิจขายตรงให้ความจริงใจกับสมาชิกและลูกค้า เพราะฉะนั้นเวลาพูดกับใครต้องชัดเจน ตัวเองก็เป็นคน Clear อยู่แล้ว และที่สำคัญต้องใช้ Prodcut ของตัวเอง” จึงเป็นภาพที่พบเห็นเสมอสำหรับ “พ.ญ.นลินี” เมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนมักสวยปิ๊ง และเนี้ยบ แม้ชุดที่คุ้นตาที่สุดคือในชุดสูททำงานสุดเท่ แต่จริงๆ แล้วพ.ญ.นลินีบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบแต่งตัว บางครั้งก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เพียงแต่การแต่งกายในช่วงทำงาน หรือออกงานต่างๆ ก็ต้องให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ ที่สำคัญคือ ไม่ได้เป็นคนที่ยึดติดว่าต้องใส่ชุดของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง สำหรับชุดที่สวมใส่ประจำเช่น Flynow และ G2000 ซึ่งความลงตัวตลอดเวลานั้น ทั้งหมดเป็นฝีมือเลือก และแต่งด้วยตัวเองของพ.ญ.นลินี โดยไม่จำเป็นต้องมีดีไซเนอร์มาช่วยจัดให้แต่อย่างใด ส่งพลังลุยปี2008-2009ปี 2007 สำหรับกิฟฟารีนแล้วทั้งจากยอดขายที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญพ.ญ.นลินีได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 ของนักธุรกิจไทย จากทั้งหมด 15 คนทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2007 (Leading Women Enterpreneurs of the World 2007) ซึ่งพ.ญ.นลินีบอกว่าถือเป็นช่วงสำคัญของจังหวะชีวิตในปีนี้ จากจุดนี้ พ.ญ.นลินีบอกว่าผลงานในปี 2007 สะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าของธุรกิจกิฟฟารีน ในด้านความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นวัดจากผลประกอบการ เพราะรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลกซึ่งพิจารณาจากผลประกอบการของธุรกิจที่ทำอยู่ด้วย ส่วนที่สอง มองว่าคนไทยเริ่มเข้าใจแบรนด์ และมองธุรกิจกิฟฟารีนเป็นมิตรมากขึ้น ผลที่งอกงามสำหรับพ.ญ.นลินีในปี 2007 มาจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นปีที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์สร้างให้ลูกค้ายอมรับนับถือแบรนด์กิฟฟารีนให้มากที่สุด ซึ่งนอกจากพ.ญ.นลินีจะบริหารธุรกิจด้วยตัวเองแล้ว ยังเป็นครีเอทีฟดูแลหนังโฆษณาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2006 แม้ “กิฟฟารีน” จะไม่ได้ทำธุรกิจแบบเดียวกับแบรนด์ “มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์” ของอังกฤษ ที่พ.ญ.นลินีเลือกเป็นแบรนด์ที่ชื่นชอบ ด้วยเหตุผลว่าเพราะมี Products ทุกอย่าง ลูกค้าที่เข้าไปซื้อของที่นี่จะซื้อด้วยความมั่นใจ เป็นแบรนด์ของคนทั่วโลก ที่น่าสนใจเพราะสามารถทำสำเร็จในการจับตลาด Mass ได้หมด แต่การเข้าถึง Mass คือเป้าหมายเดียวกัน โดยเฉพาะปี 2008 ที่พ.ญ.นลินีวางแผนให้กิฟฟารีนมีผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสนองตอบลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม B ถึง C+ และให้ผู้ที่มาร่วมธุรกิจมีโอกาสเติบโตมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือให้แบรนด์กิฟฟารีนแข็งแรง เป็นที่ประทับใจของลูกค้าจำนวนมากเหมือนกัน Profile แบรนด์ : กิฟฟารีน ลักษณะธุรกิจ : ระบบธุรกิจขายตรง MLM (Multi Level Marketing) รายได้ : ปี 2549 - 3,400 ล้านบาท ปี 2550 - คาด 3,900 ล้านบาท รวม 11 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ สร้างยอดขายรวม 23,000 ล้านบาท งบการตลาด : ปี 2550 มูลค่า 60-80 ล้านบาท Name : แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ Age : 48 ปี Education : มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แพทย์ศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวชวิทยา) Career Highlights : 2538-ปัจจุบัน ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ประธานกรรมการ โรงเรียนศิลปะศาสตร์การแต่งหน้า กิฟฟารีน ประธานกรรมการ โรงเรียนรังสฤษฎ์สองภาษา 2530-2538 กรรมการผู้จัดการ บริษัทสุพรีเดอร์ม คอสเมติค จำกัด 2527-2532 สูตินรีแพทย์ แผนกสูติ-นรีกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมการแพทย์ทหารอากาศ Lifestyle : -หนังสือที่อ่านประจำมี 2 ประเภท คือหนังสือที่ต้องอ่านเพื่อความรู้ และต้องรู้ คือหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ และการตลาด และหนังสือที่อ่านเพื่อความสุข มีทั้งหนังสือการ์ตูน บันเทิง -งานอดิเรก งานกุศลตั้งแต่รูปแบบการไปวัด เพื่อปล่อยปลา ให้อาหารปลา ไปจนถึงการสนับสนุนงบประจำสำหรับศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง -ของสะสมที่ชื่นชอบ คือตุ๊กตา เก็บไว้ทั้งในห้องทำงาน และห้องนอนส่วนตัว เพราะเห็นตุ๊กตาแล้วมีความรู้สึกสบายใจ
ที่มา : สุกรี แมนชัยนิมิต Positioning Magazine http://www.positioningmag.com/magazine/Details.aspx?id=64864

http://www.no-poor.com/ http://www.up-toyou.net/

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สาเหตุหนึ่งที่เข้าร่วมทำธุรกิจกิฟฟารีน

++อยากมีรายได้เสริม
++อาชีพเสริมที่ไม่ต้องลงทุนสูง
ดิฉันเป็นครู เงินเดือนน้อยจึงอยากมีรายได้เสริม แต่หลังจากทำกิฟฟารีนพบว่ารายได้มากกว่างานประจำเสียอีก
วิธีการทำงาน: พาตัวเองและทีมเข้าศึกษาหาควารู้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากที่ประชุม และจากคนที่ประสบความสำเร็จ จาก upline และ sideline จากนั้นลาออกจากงานประจำมาทำกิฟฟารีนเต็มเวลา ประสบการณ์การทำธุรกิจที่ผ่านมาทำให้ดิฉันพบว่า ความสำเร็จอยู่ที่ตัวเราเอง มุ่งมั่นอดทน ฟันฝ่าอุปสรรคให้ได้ มีสติ คิดดี ทำดี จะได้สิ่งดี ๆ ตามมา
ผมซ่อมรถอยู่เกือบ 10 ปี แต่ชีวิตผ่านไปวัน ๆ จึงเริ่มมองหาอาชีพที่ไม่ต้องลงทุนสูง ไม่มีความเสี่ยง และไม่ต้องเป็นหนี้ใคร ไม่ต้องออกจากงานประจำ ไม่ต้องอาศัยทำเล จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมาขายสินค้ากิฟฟารีนให้กับผม
วิธีการทำงาน:เข้าร่วมสัมมนาที่ศูนย์ ทำให้เข้าใจแผนการตลาด และตอบโจทย์ที่ผมสงสัยได้ทุกข้อ ผมลงมือทำเป็นธุรกิจ ประมาณ 2 เดือนก็เห็นรายได้ ภรรยาผมจึงเริ่มเปิดใจและช่วยขยายงาน ผมอาศัยความขยัน มุ่งมั่น ทุ่มเท ท้อบ้างแต่อย่าคิดถอย เพราะกิฟฟารีนคือความหวังและอนาคตของครอบครัวเรา ล้มลุกคลุกคลานไปข้างหน้า ดีกว่ายืนเต๊ะท่าอยู่กับที่
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

นายจ้าง-ลูกจ้างเตรียมรับมือไข้หวัด 2009 ระบาดรอบสอง

นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมและนิทรรศการการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการโดยมีนายจ้างและลูกจ้างจากสถานประกอบการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คนว่าการประชุมวันนี้เป็นการประชุมเพื่อเน้นให้นายจ้างและลูกจ้างได้ตระหนักถึงการดูแลป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะกลับมาแพร่ระบาดในรอบที่สอง อาทิ นายจ้างควรจัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของลูกจ้างก่อนเข้าทำงาน พร้อมทั้งจัดจุดบริการเจลอนามัย สำหรับล้างมือให้กับลูกจ้าง
ขณะที่ลูกจ้าง ควรป้องกันตนเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยขณะทำงานหรืออยู่ในที่คนแออัด รวมถึงออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค หากผู้ประกันตนที่แพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคดังกล่าว สามารถใช้สิทธิเข้ารับการรักษา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานยอดผู้ประกันตนที่ติดเชื้อดังกล่าว เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อเป็นผู้สูงอายุ และเด็กเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย
แหล่งที่มา: http://blog.beenverified.com/what-to-look-for-in-2009or-what-companies-will-survive-the-coming-economic-storm/2008/10/20/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

หุ้นไทยผันผวน เหตุกังวลการเมือง

บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันที่ 26 ส.ค. ดัชนีแกว่งตัวผันผวน แต่สามารถปิดบวกได้ โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 661.04 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 654.89 จุด จนมาปิดตลาดที่ 658.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.82 จุด หรือร้อยละ 0.43 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24,007.44 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็ม เอ ไอ ปิดที่ 180.30 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 270.60 ล้านบาท
ด้านสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิที่ 30.07 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 329.77 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 359.84 ล้านบาท โดยนายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผอ.อาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนบางช่วงบวกได้ แต่บางช่วงติดลบเล็กน้อย โดยมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลางและเล็กที่ได้รับประโยชน์จากการลดลงของราคาน้ำมันดิบ เช่น ขนส่ง และโรงกลั่น แต่ช่วงบ่ายมีแรงเทขายหุ้นพลังงานและธนาคารออกมา เพราะนักลงทุนกลับมากังวลการเมืองในประเทศอีกครั้ง หลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคัดค้านการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ (27 ส.ค.) มองว่า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวนและอาจเผชิญแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นออกมา หากไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ 660 จุด เพราะนักลงทุนยังกังวลเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยต้องติดตามราคาน้ำมันดิบ และการปรับตัวของตลาดต่างประเทศ ประเมินแนวรับที่ 650-653 จุด และแนวต้าน 662-665 จุด ด้านกลยุทธ์แนะนำเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็ก.-สำนักข่าวไทย
ที่มา: http://news.mcot.net/economic/inside.php?value=bmlkPTExMTc4MiZudHlwZT10ZXh0
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

Google Docs สนับสนุนการเขียนสมการแล้ว

Fri, 18/09/2009 - 9:12pm สำหรับหลายๆ คน ที่เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้โปรแกรมจัดหน้าเอกสารนั้นจำเป็นที่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับการแทรกสมการต่างๆ ตอนนี้ Google Docs บริการเอกสารออนไลน์ของกูเกิลเองก็สนับสนุนการเขียนสมการทางวิทยาศาสตร์แล้วครับ
สมการที่แทรกนั้นเป็นสมการรูปแบบเดียวกันกับรูปแบบ LaTeX ที่นิยมกันในการตีพิมพ์เอกสารวิชาการของวงการวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่าอาจจะดูสร้างยากไปเล็กน้อยสำหรับผู้ใช้มือใหม่ แต่ก็มีฟังก์ชันต่างๆ เกือบครบ โดยที่สามารถแทรกไปในเอกสารได้ง่ายๆ จากการใช้คำสั่ง Equation ในเมนู Insert (ดูรูปประกอบ)
นับว่าคงได้ใจหลายคนไปอีกทีเดียว (Office Web Apps จะทำได้บ้างไหมเนี่ย)ที่มา: http://kalanyuz.com/aggregator/sources/1
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

Facebook ช่วยจับคนร้าย

เคยมีข่าวการจับตัวคนร้ายขโมยของ และใช้เทคโนโลยีมาช่วยตามคืนมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น SETI หรือ Macbook ซึ่งทั้ง 2 กรณีสามารถติดตาม laptop ที่ถูกขโมยไปกลับมาได้
คราวนี้เป็นคิวของ Facebook ครับ
เรื่องเกิดขึ้นในเพนซิลวาเนีย โดยหัวขโมยรายนี้เข้าไปขโมยแหวนเพชรในบ้านหลังหนึ่ง แล้วก็สามารถหลบหนีออกมาได้ ก่อนที่จะโดนจับในเวลาต่อมา โดยตำรวจสามารถติดตามจับขโมยรายนี้ได้เพราะว่า ดันแอบไปใช้คอมพิวเตอร์ของเจ้าของบ้านล็อกอินเข้า Facebook
แต่ดันลืมล็อกเอาท์
ทำให้ตำรวจสามารถตามไปจับกุมได้ในที่สุด
ต่อไปจะมีขโมยที่ไหน tweet ระหว่างปฏิบัติการบ้างไหมครับ
ที่มา: http://kalanyuz.com/aggregator/sources/1
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ไมโครซอฟท์จะสนับสนุนมัลติมีเดียแท็กใน HTML 5

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คุณ Mark Pilgrim จากกูเกิลได้ขึ้นบทความในหัวข้อ This Week in HTML 5 ตอนที่ 35 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความพยายามในการผลักดันมาตรฐาน HTML 5 โดยคุณ Pilgrim ได้อ้างว่า คุณ Adrian Bateman ซึ่งเป็นผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์และเป็นคนให้ข้อเสนอแนะ HTML 5 ฉบับร่างจากทางไมโครซอฟท์ ว่าไมโครซอฟท์จะสนับสนุนมัลติมีเดียแท็ก (multimedia tags)
โดยเริ่มต้น ไมโครซอฟท์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการร่าง HTML 5 กับทาง WHATWG (Web Hypertext Application Technology Working Group) แต่ถึงกระนั้นไมโครซอฟท์ก็ได้พัฒนาบางฟีเจอร์จาก HTML 5 อาทิ DOM Storage** หรือแอททริบิวท์ contentEditable ลงในเบราว์เซอร์ของตน แต่เมื่อเดือนที่แล้ว คุณ Bateman ก็ได้เข้าร่วมในการปรับปรุงร่าง HTML 5 (ดูข่าวเก่า โดยคุณ lew)
ล่าสุด คุณ Bateman ได้โพสต์ข้อความลง W3C mailing list ว่า "ไมโครซอฟท์สนับสนุนแท็ก <video> และ <audio> ในร่าง HTML 5" ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเปิดเผยความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มแอททริบิวท์ที่ระบุ metadata ยังส่วนที่ระบุแหล่งของสื่อมีเดีย (media source element) และเพิ่มกระบวนการแจ้งเตือนเหตุการณ์ของการสตรีมมีเดีย (media stream event notification mechanism) ที่คล้ายกับการซิงโครนัส text transcript อีกด้วย
ที่มา: http://kalanyuz.com/aggregator/sources/1
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

Firefox ก็รองรับ WebGL แล้ว

จากข่าวเก่า WebKit เริ่มรองรับ WebGL ตอนนี้เป็นคิวของ Firefox ที่รองรับ WebGL แล้วเช่นกัน
การสนับสนุน WebGL ของ Firefox เป็นโครงการต่อเนื่องที่ Mozilla ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2007 คือการทดลอง Canvas 3D (Canvas ที่วาดภาพสามมิติได้) ซึ่งในภายหลัง Mozilla ได้ร่วมมือกับ Khronos Group เพื่อผลักดันให้ WebGL กลายเป็นมาตรฐาน
ผู้ที่สนใจทดลองต้องดาวน์โหลด Firefox รุ่น trunk nightly build หลังวันที่ 18 กันยายนเป็นต้นมา และเปิดใช้ความสามารถนี้ผ่าน about:config วิธีการดูได้ตามลิงก์ที่มา
ทีมงาน Mozilla กำลังหาวิธีที่ให้ WebGL ทำงานบน API อื่นๆ ในกรณีที่เครื่องไม่มี OpenGL ได้ด้วย เช่น Direct3D
ที่มา: http://kalanyuz.com/aggregator/sources/1
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

Eric Schmidt: ผลิตภัณฑ์ของกูเกิลที่ผมชอบที่สุดคือ Chrome

Danny Sullivan แห่งเว็บไซต์ Search Engine Land มีโอกาสคุยกับ Eric Schmidt ซีอีโอของกูเกิล และถามคำถามว่า "คุณชอบผลิตภัณฑ์ตัวไหนของกูเกิลมากที่สุด?"
คำตอบของ Schmidt ไม่ใช่ว่า "ชอบทุกตัวเท่ากัน" แต่ตอบมายาวๆ ดังนี้ (ต้นฉบับดูได้จากที่มา)
ผลิตภัณฑ์ที่ผมชอบที่สุดคือ Chrome อันนี้ตอบโดยส่วนตัวนะ สาเหตุเพราะการออกแบบ Chrome มีความละเอียดอ่อนแทรกอยู่มาก ทีมพัฒนา Chrome ใส่ใจในรายละเอียดซึ่งช่วยให้ Chrome ทำงานเร็วกว่าคู่แข่งและใช้งานได้ง่าย เมื่อคุณเริ่มใช้ Chrome แล้วจะไม่อยากกลับไปใช้เบราว์เซอร์ตัวอื่นอีกเลย ความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อธิบายได้ยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมชอบ และแน่นอนว่ารายละเอียดเหล่านี้จะไปอยู่ใน Chrome OS ด้วย
ผมบอกกับทีม Chrome ว่าการออกแบบ Chrome นั้นเรียบง่ายแต่งดงาม เช่นเดียวกับการออกแบบกูเกิลของ Larry และ Sergey มันแสดงออกถึงความฉลาดของผู้พัฒนา และผมคิดว่าคนมักไม่ค่อยพูดถึงประเด็นนี้กันสักเท่าไร
ที่มา: http://kalanyuz.com/aggregator/sources/1
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ก้าวไปอีกขั้น: เลโนโว T400s รุ่นใหม่มาพร้อมกับทัชสกรีน

เลโนโวได้ก้าวไปอีกขั้น ทำการเปิดตัว T400s ที่มาพร้อมกับออปชันทัชสกรีนและคุณสมบัติมัลติทัชให้เลือกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
eWeek ได้ทำการรีวิวรุ่นดังกล่าว พบว่าจอภาพมีความหนากว่ารุ่นปกติเล็กน้อย สามารถตอบสนองมัลติทัช รวมถึง finger gesture ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นข้อพับยังมีความแข็งขึ้นเพื่อรองรับการสัมผัสบนจอภาพ
สนนราคาอยู่ที่ 1,999 ดอลล่าร์สหรัฐ ราคาแพงกว่า T400s สเปกเดียวกันแต่ไม่มีทัชสกรีนอยู่ 400 ดอลล่าร์สหรัฐ นอกจากรุ่น T400s แล้ว เลโนโวยังอัพเดตรุ่น X200 Tablet ให้รองรับมัลติทัชอีกด้วย
ฟีเจอร์มากขึ้น มาพร้อมกับคุณภาพที่ลดลงหรือเปล่า!?
ที่มา: http://kalanyuz.com/aggregator/sources/1
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดพิเศษแห่งปี “Why Giffarine ?”

เปิดตัวไปแล้วอย่างยิ่งใหญ่ กับโฆษณาชุดพิเศษแห่งปี เพื่อไขข้อข้องใจว่าทำไมกิฟฟารีนถึงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุดโดยงานนี้ พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัดลงทุนเป็น Creative Director ด้วยตัวเอง ซึ่งนำเสนอแนวคิดต่างๆ ผ่านทางโฆษณาชุด “Why Giffarine ?” ที่มีทั้งหมดถึง 7 เรื่องนอกจากนี้ พญ.นลินี ไพบูลย์ ยัง รับบทเป็น Presenter
ในเรื่องแรก ซึ่งมีเนื้อหาหลักคือ “ใครก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองได้” เพื่อตอกย้ำโอกาสแห่งความสำเร็จทางธุรกิจกับกิฟฟารีนเรื่องที่ 2 เป็นการนำเสนอคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงผ่านระบบการผลิตที่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล โดยมี นพ.จักรพงศ์ ไพบูลย์ รับหน้าที่เป็น Presenter
ตามมาด้วยโฆษณาล้ำยุคที่ใช้งบประมาณมากที่สุดเพราะใช้ภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิค หรือ ซีจี ในการดำเนินเรื่องราวของการเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจที่ ประสบความสำเร็จ ซึ่งนำแสดงโดย คุณพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด และ คุณภูดิท ภควลีธร ผู้บริหารระดับ พาราไดซ์
และ 4 เรื่องสุดท้ายนำเสนอความสำเร็จของสมาชิกกลุ่ม Generation Yติดตามชมโฆษณาทั้งหมดได้ทางช่อง 3 5 7 และ 9 ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป
บทสัมภาษณ์จาก นิตยสารเส้นขอบฟ้า ฉบับเดือน สิงหาคม 2552Giffarine TVC 2009 (Behind The Scene)โดยแพทย์หญิง นลินี ไพบูลย์ประธานกรรมการบริษัท สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด และกลุ่มบริษัทเครือ กิฟฟารีน(Creative Director & Presenter "Why ?")
"เรานำเสนอภาพยนตร์โฆษณา ถึง 3 ชุด เพราะต้องการให้ประชาชนเข้าใจในการดำเนินธุรกิจกิฟฟารีน ซึ่งเราถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่คนไทยยังไม่คุ้นเคย
• ชุดแรก ที่หมอเป็นพรีเซ็นเตอร์เองจะแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของเครือข่ายผู้ใช้สินค้าซึ่งจะเป็นสมบัติของผู้ที่เข้ามาเป็นนักธุรกิจกิฟฟารีนภาพยนตร์จึงพยายามจะสื่อให้เห็นว่าการทำงานกิฟฟารีน เริ่มต้นจากตัวเขาเองที่ใช้สินค้า เมื่อชวนเพื่อนแล้ว เครือข่ายจะเกิดขึ้นได้อย่างไรและจะมีรายได้กลับมาได้อย่างไร
• สำหรับเรื่องที่ 2 จะช่วยตอกย้ำความมั่นใจในด้านผลิตภัณฑ์ สืบเนื่องจากปีที่แล้วซึ่งคุณหมอ จักรพงศ์ ไพบูลย์จะเป็นพรีเซ็นเตอร์ผู้มาเล่าให้ฟังว่า เรามีกระบวนการคัดสรรสินค้าอย่างไรมีกระบวนการกลั่นกรองวัตถุดิบ และกระบวนการผลิต อย่างไรเพื่อผู้บริโภคจะได้มั่นใจได้ว่า ณ วันนี้ ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับคนไทย
• สำหรับเรื่องที่ 3 ซึ่งคุณ พงศ์พสุ อุณาพรหม เป็นพรีเซ็นเตอร์เป็นเรื่องที่เราพยายามที่จะตอกย้ำอีกจุดเด่นของกิฟฟารีนว่าเรามีระบบช่วยเหลือและสนับสนุนที่ดีที่สุดในโลกเราสามารถทำให้คนไทยคนหนึ่งซึ่งอาจไม่เคยทำธุรกิจเลยสามารถก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจ การสร้างกิจการและสร้างธุรกิจของตัวเองให้เติบโตได้โดยใช้เงินลงทุนที่น้อยที่สุด
หวังว่าทั้ง 3 เรื่องนี้ จะตอบโจทย์ ที่เราต้องการสร้างความเข้าใจที่แท้จริงของคนไทยเกี่ยวกับวิธีการทำงานของกิฟฟารีนและเป็นงานที่เรามีความตั้งใจจะเชิญคนไทยทุกคนเข้ามาร่วมธุรกิจกับเราค่ะ"
สินค้าใหม่กำลังจะเปิดตัว ในวันที่ 5 ก.ย นี้ในงานฉลองครบรอบ 13 ปีครึ่ง ที่ไบเทค บางนา
ที่มา : http://herbalife.smf4u.com/index.php?topic=55.40;wap2
อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 7 ฉบับที่ 163 ปักษ์แรก ประจำวันท่ 1-15 กันยายน 2552
ที่มา : http://www.sumret.com
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"กิฟฟารีน" รุกเดือด! "หมอต้อย" อัดงบ "80ล้านบาท" สั่งทำคลอดโฆษณาใหม่ 7 ตัวรวดถึงสิ้นปีนี้ ภายใต้แนวคิด Why Giffarine?

ตอกย้ำความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ เผยยอดขายมิ.ย.-ก.ค.เติบโตมากกว่า 10 % คาดสิ้นปีผลักดันยอดขาย รวมเติบโตพุ่งสู่ 5,000 ล้านบาท จาก 4,200 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโต 8% เป็นที่น่าพอใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยอดขายในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. มีอัตราการเติบโตกว่า 10% หลังจากก่อนหน้านี้โดยเฉพาะช่วงเดือน เม.ย.มียอดขายลดลงมาก เพราะได้รับผลกระทบจากการเมือง
สำหรับกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บริษัทได้ใช้งบ 80 ล้านบาท ผลิตโฆษณาชุดใหม่ 7 ชุด เพื่อสร้างแบรนด์และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Why Giffarine" เพื่อตอบโจทย์ว่าทำไมกิฟฟารีนจึงเป็นธุรกิจที่โดดเด่นและน่าสนใจ ออกแบบมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจ และเชิญชวนให้คนไทยมาร่วมทำธุรกิจกิฟฟารีน รวมถึงสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ ในขั้นต้นได้เปิดตัวโฆษณา 3 ตัวแรกก่อน ส่วนอีก 4 ตัวกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำและขั้นตอนการตัดต่อ
โดยโฆษณา 3 ชุดแรก ได้ทยอยออกอากาศไปแล้ว ทางสถานีโทรทัศน์ยอดนิยมในช่วงไพรม์ไทม์ เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้สำหรับโฆษณาอีก 4 ชุดที่เหลือจะเริ่มเผยแพร่ออกมาเป็นระยะจนถึงสิ้นปีนี้ โดยเป็นการนำเสนอ "ผู้นำนักธุรกิจกิฟฟารีน" ที่ประสบความสำเร็จ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับโฆษณา 3 ชุดแรก แบ่งออกเป็น เรื่องแรก นำเสนอ โดย พญ.นลินีที่ถ่ายทอดมุมมองที่เชื่อว่า คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของกิจการได้ ด้วยหลักการง่ายๆ ของธุรกิจกิฟฟารีน คือการสร้างเครือข่ายผู้บริโภค ที่เป็นลิขสิทธิ์ของเราเอง สามารถประสบความสำเร็จได้จริง ด้วยหลักการบริหารจัดการที่ช่วยสร้างวิธีการทำงาน และระบบสนับสนุนที่ดีที่สุด ไม่มีความเสี่ยง ไม่ต้องลงทุน และเป็นมรดกของผู้สร้างเครือข่ายตลอดไป
เรื่องที่สอง นำเสนอ โดย นพ.จักรพงศ์ ไพบูลย์ รองประธานกรรมการบริษัทฯ กับโฆษณาที่เน้นจรรยาบรรณในการทำธุรกิจ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเห็นถึงความตั้งใจที่ดีของกิฟฟารีน ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด และมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค เป็นการนำเสนอจุดขายของผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และการเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากทั่วโลก ที่มีผลงานวิจัยเป็นที่ยอมรับ และพัฒนาสูตรให้เหมาะสมกับคนไทย
และเรื่องที่สาม นำเสนอ โดย นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด ตอกย้ำอีกจุดเด่นของกิฟฟารีน ว่ามีระบบช่วยเหลือสนับสนุนดีที่สุดในโลก สามารถทำให้คนไทยคนหนึ่งซึ่งอาจไม่เคยทำธุรกิจเลย สามารถก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจเรียนรู้เรื่องการบริหารกิจการ สร้างกิจการ และสร้างธุรกิจของตัวเองให้เติบโตได้ โดยใช้เงินลงทุนน้อยที่สุด
นอกจากนี้แผนการดำเนินธุรกิจของกิฟฟารีนในปีนี้ ยังเน้นหนักในเรื่องของการกระตุ้นยอดขาย และการเคลื่อนไหวกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ ทั้งในส่วนของนักธุรกิจเครือข่ายและสมาชิกผู้บริโภคสินค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าเพิ่มช่องทาง ศูนย์กิฟฟารีน ไลเซ่นส์ ทำให้คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถดันยอดขายให้เติบโตได้ 10 - 15 % หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท เพิ่มจาก 4,200 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 7 ฉบับที่ 163 ปักษ์แรก ประจำวันท่ 1-15 กันยายน 2552
ที่มา : http://www.sumret.com
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

กิฟฟารีน พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ กับภารกิจผลักดัน “กิฟฟารีน” ให้ถึงดวงดาว

ด้วยวัย 49 ปี พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ผลักดันให้ตัวเธอก้าวขึ้นมายืนอยู่ในฐานะนักธุรกิจหญิงแถวหน้าของเมืองไทยได้ในเวลาไม่นาน และ “กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้” ภายใต้การบริหารของเธอก็เป็นที่รู้จักของคนไทย ด้วยแนวคิด และวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ จนถึงวันนี้แบรนด์ “กิฟฟารีน” สามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลาย และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยที่มาแรง สามารถชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่างน่าจับตา
จากชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่กลายเป็น Single Mom เพราะเหตุหย่าร้าง และเลี้ยงลูกเพียงลำพัง อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนนั้นหมดหวัง แต่สำหรับ “พ.ญ.นลินี ไพบูลย์” ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กลับตรงกันข้าม เพราะเธอใช้จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งนั้น สร้างเป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตของเธอและครอบครัวไปได้ไกลกว่าที่หลายคนจะคาดคิด
หลังจากจบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา พ.ญ.นลินี ทำงานรับราชการเป็นสูตินรีแพทย์ ที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมการแพทย์ทหารอากาศ ในช่วงที่ทำงานรับราชการนั้น เธอดำเนินธุรกิจคลินิกรักษาคนไข้ทั่วไป และโรคผิวหนังซึ่งเธอมีความสนใจทางด้านนี้เป็นพิเศษ ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการขยายผลต่อเนื่องไปสู่การดำเนินธุรกิจ
เมื่อผสานคุณสมบัติความเป็นแพทย์ และประสบการณ์จากการเปิดคลินิกด้วยตัวเอง บวกกับประสบการณ์ธุรกิจขายตรงในแบรนด์ “สุพรีเดอร์ม” เมื่อครั้งยังไม่ได้หย่าจากสามี เพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานให้ “หมอนลินี” หรือ “หมอต้อย” ให้ทราบถึงความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยรับผิดชอบหรือทำธุรกิจด้วยตัวเอง เส้นทางนักธุรกิจของเธอจึงดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้ยิ่งต้องค้นหาความรู้ทั้งจากตำรา และการเข้าชั้นเรียนเพื่อเสริมความรู้ด้านธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
เธอเลือกธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อสุขภาพผิวที่ดี และอาหารเสริมประเภทต่างๆ และได้ตัดสินใจเริ่มเปิดดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ทั้งการผลิตและจำหน่าย โดยเป็นการจำหน่ายในแบบธุรกิจขายตรงและตั้งชื่อบริษัทโดยนำชื่อของบุตรสาว 2 คน น้องกิ๊ฟและน้องฟ้า มารวมเข้าเป็นชื่อ บริษัทกิฟฟารีน เมื่อปี 2538 จนถึงปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 และยังคงยืนหยัดได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะในวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท มีผู้คนว่างงานกันมากมาย ธุรกิจขายตรงนับว่าเป็นทางออกที่ดีของบางคนในช่วงนั้น
ถึงแม้จะศึกษาทางด้านแพทยศาสตร์ และรับราชการมาโดยตลอด แต่ด้วยหลักการตลาดและแนวคิดริเริ่มสร้างสรรรค์ในแบบของเธอ ที่นำมาปรับใช้กับธุรกิจ เป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีกับการตลาดยุคปัจจุบัน นั่นคือ “ความงาม” และ “ความมั่นคง”
นอกจากนี้บริษัท ฯ ได้เน้นเรื่องคุณภาพของสินค้าเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและบริโภคซ้ำได้ต่อเนื่อง นำมาซึ่งการดำเนินธุรกิจขายตรงที่มั่นคงและยั่งยืน เธอบอกว่า “ความเป็นหมอสอนไว้ว่า ไม่ให้เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อต้องเริ่มต้นบอกกับลูกค้า กิฟฟารีนเลือกวิธีชี้แจงส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ ทำให้ไม่มีข้อโต้แย้งได้ ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนจึงต่างจากแบรนด์อื่น”
ส่วนความต่างที่ให้กับสมาชิกเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายจำนวนสมาชิกที่ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า คือ นอกจากให้ส่วนแบ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแล้ว ยังให้ความรู้สึกแก่สมาชิกว่าเป็นเสมือนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สามารถรับรู้รายจ่าย รายได้ของบริษัทอีกด้วย
จนถึงวันนี้ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด บริษัทขายตรงสัญชาติไทยอันดับหนึ่ง ได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ที่นวนครมูลค่า 700 ล้านบาท ปูทางสู่การเป็นที่หนึ่งในตลาดขายตรง และรองรับการขยายงานในอนาคต โดยโรงงานแห่งนี้มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ ห้องทดลองกลาง (Central Lab) ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา (Research & Development Lab) มีหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ของกิฟฟารีน ซึ่งเป็นขั้นตอนของการค้นคว้าวิจัย และคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก ที่สำคัญวัตถุดิบเหล่านั้นจะต้องมีงานวิจัยทางการแพทย์รับรอง
โรงงานแห่งใหม่นี้มีกำลังการผลิต เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 เท่าตัว หรือประมาณ 20 ล้านชิ้นต่อเดือน เพื่อรองรับยอดจำหน่ายได้ถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี และรองรับกำลังการผลิตได้ ได้อีก 9-10 ปี ทั้งนี้จากการสร้างโรงงานดังกล่าว จะผลักดันให้ยอดขายกิฟฟารีนบรรลุเป้าหมาย 5,000 ล้านบาท ในปี 2553 หรือมีการเติบโต 15-20% อย่างต่อเนื่อง โดยมาจากการขยายธุรกิจภายในประเทศ ต่างประเทศ และการรับจ้างผลิต
การเปิดโรงงานครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุน ทั้งการทำตลาดภายในประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วน 95% ของรายได้ หรือการขยายตลาดต่างประเทศ ทั้งแบรนด์กิฟฟารีน และแพททรีนา ซึ่งกำลังเจรจากับดิสทริบิวเตอร์ 5 - 6 ประเทศ และยังมีอีกหลายประเทศที่ไม่ได้เซ็นสัญญาดิสทริบิวเตอร์ แต่มีการนำสินค้าไปจำหน่าย อาทิ รัสเซีย และเซาท์แอฟริกา ฯลฯ จากปัจจุบันส่งออกไป 30 ประเทศ ทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกา มีสัดส่วนรายได้ 5% และตั้งเป้าโต 200% ในแง่มูลค่า อีกทั้งการเปิดโรงงานใหม่ยังทำบริษัทรับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น
“จากวิกฤตการณ์ทางการเงินอเมริกาคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงของบริษัท แต่อาจกระทบต่อจิตวิทยาของผู้บริโภค ความมั่นใจลดลง ทำให้มีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยผลประโยชน์โดยอ้อม อาจทำให้ผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมเข้าสู่ระบบธุรกิจขายตรงมากขึ้น ขณะนี้เริ่มมีผู้ที่สนใจเป็นนักธุรกิจขายตรงจากเอสเอ็มอีมากขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ทำให้บริษัทกังวลยังคงเป็นสถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่งมากกว่าปัจจัยลบด้านอื่นๆ”
แพทย์หญิงนลินี กล่าวถึงแผนการตลาดในปีหน้าเพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยบริษัทจะโฟกัสนักธุรกิจ ผู้ประกอบการอิสระให้มากขึ้น พิจารณาสภาพแวดล้อมทั้งปัจจัยลบและบวก เพื่อปรับเปลี่ยนการทำตลาดได้อย่างรวดเร็วรองรับกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอด เช่น กรณีผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้สอย มุ่งเน้นการเปิดตัวสินค้าที่สอดคล้องกับกำลังซื้อ ลดสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูง และลดต้นทุนการผลิตด้วยการปรับแพกเกจจิง แต่ยังคงคุณภาพสินค้าไว้ โดยในปีหน้านี้บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโต 10%
สำหรับผลประกอบการของกิฟฟารีนในปีที่แล้ว ขายทั้งหมด 60 ล้านชิ้น คิดเป็นยอดขายได้ 3.9 พันล้าน เติบโตประมาณ 18 % และในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานมีอัตราการเติบโต 10.55%
พร้อมกันนี้ กิฟฟารีนยังได้วางแผนการตลาด สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์สองคนล่าสุด ที่เป็นผู้บริโภคตัวจริงของกิฟฟารีน คือ จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา และ อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ และยังมีแผนรุกตลาด และสร้างแบรนด์ด้วยการอัดฉีดโฆษณาประชาสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการอบรมนักธุรกิจกิฟฟารีนให้มีบุคลิกสอดคล้องกับแบรนด์อีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป้ารายได้มากกว่า 4,300 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ พร้อมทั้งจะผลักดันให้กิฟฟารีนบรรลุเป้ายอดขาย 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 15 - 20 % ได้ในอนาคตอันใกล้ พร้อมกับยอดสมัครสมาชิกที่พุ่งขึ้นมากกว่า 4.5 ล้านรหัส และยังเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์กิฟฟารีน เพื่อคงคอนเซ็ปต์ว่า “สินค้าแบรนด์ไทย ไม่แพ้ใครในโลก” เพราะทุกวันนี้ ความรู้และเทคโนโลยี เรียนทันกันทั้งโลกแล้ว ค่าเว็บไซต์ของฉัน
ที่มา: คอลัมน์ Movers & Shakers สุทธิณี มาพันธุ์ นิตยสาร Money and Wealth ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2551
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์(หมอต้อย) : Giffarine : ชีวิตที่ไม่ใช่นิยาย

เพลง มาร์ช ที่มีจังหวะและเนื้อหาเร้าใจของ บริษัทกิฟฟารีน ดังกระหึ่มขึ้นในห้อง มรกต โรงแรมอินทรา พร้อมๆกับสายตากว่าพันคู่พุ่งมองไปยังพ.ญ .นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการบริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ที่กำลังก้าวขึ้นสู่ เวทีและเริ่มต้นพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆแต่กระชับชัดเจน สะกดให้ทุกคนตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอพูดนานนับชั่วโมง
หญิงชายหลากหลายวัย ทั้งหมด 1,800 กว่าคนในห้องนั้นคือ “ดาว ดวง ใหม่” หรือสมาชิกใหม่ ที่ สนใจในธุรกิจขายตรงของสินค้าของกิฟฟารีน และเพิ่งเข้ามาร่วมกิจกรรมกับทางบริษัทเป็นครั้งแรก ช่วงเวลาที่ “หมอต้อย” กำลังพูดในหัวข้อ “สกายไลน์ ธุรกิจแห่งความสำเร็จในชีวิต” ในห้องประชุมอื่นๆบนชั้น 4 ของโรงแรมอินทรา อีกประมาณ 6 ห้อง ก็คลาคล่ำไปด้วยสมาชิกของกิฟฟารีนที่จะต้องเข้าเทรนนิ่งในหัวข้อต่างๆกัน เช่น ห้องพัฒนาผู้นำ ห้องเจาะลึกการตลาด ห้องผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ห้องทายาทธุรกิจกิฟารีน ห้องผลิตภัณฑ์อาหาร และห้องผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมทั้งหมดแล้วประมาณ1,800คน
ท่ามกลางผู้คนที่มากมาย วันนั้น หมอต้อยจำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดร่างใหญ่คอย เดินประกบรักษาความปลอดภัย ทั้งหมดเป็นกิจกรรม ที่จัดขึ้นฟรีเพื่อสมาชิก ทุกเย็วันอังคาร ที่โรงแรมแห่งนี้มานานต่อเนื่องกว่า10ปี
ในปี 2549 ที่ผ่านมา บริษัทก็ได้จัดงานครบรอบ 10 ปีครึ่ง ที่ศูนย์ประชุมไบเท็คบางนา ท่ามกลางผู้ร่วมงานเกือบ 2 พันคน เพื่อฉลองยอดขายตัวเลข 3 พันล้านบาท จากจำนวนสมาชิกที่ขยายถักทอออกไปราวกับใยแมงมุมถึง4ล้านเลขหมาย ซึ่งรวมไปถึงสมาชิกขายตรงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและฮ่องกงด้วย
ธุรกิจ MLM (Multi Level Marketing) หรือ Network Marketing นั้น หากย้อนหลังไปประมาณ 10-15 ปี คงยังไม่เป็นที่รู้จักนัก แต่ปีพ.ศ.นี้ หากมองจากผู้คนที่เข้ามาร่วมงาน จะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ได้ให้ความสนใจกับธุรกิจขายตรงมากขึ้น และเป็นผู้ชายมากขึ้น พร้อมๆกับความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มสุขภาพและความงามที่เพิ่มขึ้นด้วย
ในวัยเด็กหมอต้อยมาจากครอบครัวที่มีความสุข เป็นครอบครัวเล็กๆ ที่มี พี่น้อง 3คน คุณพ่อ คุณแม่รับราชการทั้งคู่ โดยคุณพ่อ คือพลอากาศตรีพิมล ไพบูลย์ ข้าราชการทหารอากาศ และผู้ช่วยศาสตราจารย์มณฑา ไพบูลย์ เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒิ ปทุมวัน
“ตอนเด็ก ๆ หมอเป็นเด็กไฮเปอร์ค่ะ”เธอย้อนอดีตให้ด้วยใบหน้า เปื้อนยิ้ม ซึ่งเป็นบุคลิกเด่นประจำตัวของเธอ
“ถ้าเป็นสมัยนี้พ่อแม่ และผู้ปกครอง อาจจะรู้ และมีวิธีการรักษาเช่นให้ยา แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ ๆ แต่ว่าทำไมหมอเป็นเด็กที่ซนมาก ไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เคยทำการบ้านเลย แต่เป็นเด็กหัวดี โชคดี ได้เจออาจารย์ท่านหนึ่งที่มีวิธีการที่ฉลาด คือบอกกับหมอว่า ถ้าหนูไม่ทำการบ้านแต่หนูสอบได้ที่ 1 คิดว่าเพื่อนๆ จะคิดอย่างไร เพื่อนๆก็จะมองว่า ขนาดคนที่ไม่ได้ทำงานไม่ทำการบ้านยังสอบได้ที่ 1 เลย แล้วเพื่อนจะทำการบ้านเหรอ แล้วถ้าเพื่อน เรียนหนังสือไม่เก่งอย่างหนู เขาจะเป็นอย่างไรต่อไป และอาจารย์ ยังจัดเพื่อนให้หมอรับผิดชอบ 2 คน คือคนที่เรียนหนังสือตกแล้วตกอีก โดยบอกว่าคราวนี้ ถ้าเพื่อนสอบไม่ผ่านจะปรับตกทั้ง 3 คนเลยนะ หมอเลยต้องขยัน ต้องตั้งใจเรียนเพื่อเอาไปช่วยสอนเพื่อน ด้วยกลัวเพื่อนสอบตก”
ด้วยกุศโลบายที่ชาญฉลาดของอาจารย์ ทำให้หมอต้อย เปลี่ยนไป สามารถสอบเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และ เข้าเรียนต่อในคณะแพทย์ศาสตร์ได้ตามที่คุณแม่คาดหวังไปเป็นน้องใหม่ของคณะที่มีหน้าตา จนรุ่นพี่ต้องให้เข้าไปช่วยงานกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเช่น เป็นตัวแทนทำหน้าที่อัญเชิญพระเกี้ยวในงาน ฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ประจำปี2521 เป็นตัวแทนของคณะประกวดนางนพมาศ และเป็นหน้าปกหนังสือสกุลไทย
ทั้งหมดน่าจะเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า หมอต้อย เป็นคนสวย ที่ฉลาด และเป็นคนดังคนหนึ่งในช่วงเวลานั้น และแม้วันนี้ วัย 48ปี ของเธอก็ยังสวย และดูดีมาก
หมอต้อย เลือกเรียนเฉพาะทางทางด้านสูตินารีแพทย์ที่โรงพยาบาลภูมิพล เธอทำคลอดเด็กมาแล้วหลายร้อยคน หลังจาการแต่งงาน เธอก็ยังทำหน้าที่เป็นหมอทำคลอด อยู่หลายปี จนต่อมาตัดสินใจเปิดคลินิกนอกเวลาเพื่อหารายได้เสริม แต่พบว่าในย่านห้วยขวางที่เป็นคลินิกแห่งแรกของเธอนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนไข้ที่ยากจน เลยมีความคิดว่า น่าจะเปลี่ยนจากคลินิกรักษาโรคทั่วไป เป็นคลีนิคที่รับปรึกษาเรื่องความงามด้วย เพื่อเอากำไรจากตรงนี้ไปช่วยเหลือคนจนได้บ้าง โดยเริ่มจากไปรับยาจากคุณหมอท่านอื่นมา ขายต่อหลังจากนั้นก็ คิดดัดแปลงสูตรเองเพื่อให้ได้คุณภาพยิ่งขึ้น ซึ่งก็ได้ผลดีมาก มีคนไข้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมีความคิดว่าน่าจะมีช่องทางการตลาดอย่างอื่นบ้างเลยไปติดต่อห้างสรรพสินค้า เพื่อจะนำสินค้าไปวางขาย
“หมอตกใจมากพอรู้ว่าต้องใช้เงินจำนวนมากหากจะเอาสินค้าไปวาง เช่นต้องมีค่าแรกเข้า ค่าโฆษณา และต้องมีสต๊อกสินค้าชัดเจน คิดแล้วเป็นเงินนับสิบล้านบาท แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมา พอดีมีเพื่อนแนะนำเรื่องวิธีขายตรง ก็เลยมาศึกษาช่องทางแบบขายตรง ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการกระจายสินค้าและบริการ ที่นำเอาส่วนต่างที่ไม่ต้องจ่ายให้กับห้างร้าน ปันผลให้กับคนที่มาทำหน้าที่ขายตรงแทน
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจขายตรงยี่ห้อแรกคือ “สุพรีเดอร์ม”ที่บุกเบิกกิจการร่วมกับอดีตสามี หลังจากนั้นเธอตัดสินใจลาออก จากงานประจำมา เรียนรู้การทำธุรกิจอย่างจริงจังไปพร้อมๆกับเรียนรู้นิสัยของคนไทย ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเวลา 9 ปี จนวันหนึ่งยอดรายได้เริ่มมั่นคง และบริษัทเติบโตมีชื่อเสียงมากขึ้น
“แต่หมอกลับมารู้ตัวว่า วันนั้นหมอกลับไม่เหลืออะไรเลย ประสบความสำเร็จเรื่องงานแต่หมอเอาครอบครัวไว้ไม่ได้ ” น้ำเสียงของเธออ่อนเบาลงเมื่อพูดถึงตรงนี้
หลังการหย่ากับสามี เธอมีเงินอยู่ประมาณ 100 ล้านบาท และมีหน้าที่เลี้ยงดูลูกสาวอีก 2 คน ที่กำลังเล็ก เธอบอกว่าช่วงนั้นเธอสับสน เครียดและวุ่นวายใจจนเคยคิดจะฆ่าตัวตาย
ภาพของลูกสาว 2 คน ที่กำลังน่ารักคือสิ่งผลักดันให้เธอยืนขึ้นสู้อีกครั้ง คราวนี้เธอเริ่มใหม่กับธุรกิจขายตรงอีกครั้ง กับแบรนด์ กิฟฟารีน ที่เอาชื่อมาจากลูกสาวคนโต“น้องกิ๊ฟ” เด็กหญิงสิริอร ที่วัยนี้มี อายุ 15ปี และน้อง ฟ้า เด็กหญิงพิชชาอร อายุ 12 ปี
เงิน100 ล้านบาท ตั้งใจไว้ว่าจะเหลือไว้ให้ลูก 2คน 10 ล้านบาทเผื่อทำธุรกิจไม่ประสบสำเร็จลูก ๆ ก็ยังมีเงินเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องเอามาลงทุนในการซื้อที่ดิน สร้างโรงงงาน และศูนย์จำหน่ายในช่วงเปิดตัวอีก8 แห่ง และเมื่อเธอเปิดกระเป๋าอีกครั้งพบว่ามีเงินอยู่ในบัญชีเพียง 500 บาทเท่านั้น
เป็นการเริ่มทำธุรกิจครั้งใหม่โดยมี ชีวิตเป็นเดิมพัน คราวนี้ไม่มีคู่ชีวิตอยู่เคียงข้างเหมือนเคย มีเพียงการทำงานที่หนักขึ้น ๆ ด้วยความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว
วันที่ 17 มีนาคม 2539 บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้เปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการท่ามกลางเศรษฐกิจที่กำลังโตเต็มที่ ปีแรกบริษัทมีผลประกอบการที่ 384 ล้านบาท ปีที่สองฟองสบู่แตกกระจาย แต่รายได้ของบริษัทกลับพุ่งพรวดไปถึง1,600 ล้านบาท หลังจากนั้นบริษัทก็มีอัตราการเติบโตอยู่ที่อัตรา10 กว่า เปอร์เซ็นต์ทุกปี
ปีไหนเศรษฐกิจไม่ดีจะสร้างโอกาสให้ธุรกิจขายตรงทันที แม้กำลังซื้อของคนจะลด คนซื้อของน้อยลง แต่กลับมีคนมาร่วมงานมากขึ้นช่องทางการขาย และเม็ดรายได้ก็เพิ่มขึ้นตาม
“จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เราไม่มีอุปสรรคนะคะ เรามีมาตลอดทาง เหนื่อยมากเพราะเป็น สินค้าเปิดใหม่ แบรนด์ ของสินค้ายังไม่เป็นที่รู้จัก และยังเป็นของคนไทยด้วย ความเชื่อมั่นไม่มีก็ต้องสร้างกำลังใจให้กับนักขายค่อนข้างมาก ปีแรกเรามีปัญหาเรื่องการโตเร็ว แต่แย่มากๆตรงที่เรา เตรียมสินค้าไม่ทัน แต่ในที่สุดก็ลุล่วงไปได้ ส่วนตัวหมอเองก็ยอมรับว่าช่วงนั้น หมอต้องทุ่มเทกว่าใครๆ ”
จากสินค้าเพียงไม่กี่รายการ เพิ่มเป็น 2 พันรายการในปัจจุบั นครอบคลุมสินค้าหลัก 4 หมวดใหญ่คือ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกายจำนวน 70 เปอร์แซ็นต์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 20เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์ อื่นๆ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยมีแนวโน้มของสินค้าอาหารเสริม เติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ ในขณะเดียวกันสินค้าสำหรับผู้ชายที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปียังไม่ได้เติบโตมากนัก ส่วนยอดขายเพิ่มสูงถึง 2,890 ล้านบาทในปี 2548 และคาดว่าไม่ต่ำ3,000ล้านบาทในปี 2549
หลายคนอาจจะมองว่าวันนี้เธอหยุดตัวเลขไม่ได้แล้วต้องไล่ล่าสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอได้ ชี้แจงว่า
“สำหรับหมอ ๆ พอมาตั้งแต่เปิดบริษัท แล้วไม่ใช่ รวยนะ แต่เรารู้ว่าตอนเรามีความทุกข์ เงินก็ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุข แต่ที่เราหยุดไม่ได้ เพราะพันธะสัญญาที่ได้ให้ไว้กับสมาชิก
เพราะ สัญญาที่ว่าหากสมาชิก มาอยู่ตรงนี้ ต้องมีรายได้ที่ดี ต้องมีความภูมิใจมีเกียรติ์ มีศักดิ์ศรี ทุกคนได้ฝากความหวังไว้ ดังนั้นบริษัทจะต้องเติบโตเพื่อให้สมาชิกประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการ ทุกอย่างเราเลยเหมือนหยุดไม่ได้ ที่จริงเราไม่ได้มองคู่แข่งเลยนะว่าเราจะเป็นที่เท่าไหร่ แต่ เราต้องให้คนที่มาอยู่กับเราได้รับในสิ่งที่เขาคาดหวัง คนมาใหม่ต้องการรายได้ใหม่ คน เก่าต้องการรายได้ที่มากขึ้น ถ้าเราไม่โต เราจะเอาที่ไหนมาให้”
หมอต้อยรู้ดีว่า สมาชิกของเธอ เป็นคนไทยที่ไม่ได้มีวิญญาณของนักขายอยู่ในสายเลือด ทางบริษัทเลยเน้นว่า เป็นการ เชิญชวนคนไทยให้มาเป็นผู้บริโภค มาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ แล้วให้เขาสร้างเครือข่ายของผู้บริโภค โดยเอากำไรต่อชิ้นต่ำแต่เน้นจำนวนจำนวนยอดขายที่ต้องสูง
“ระบบเทรนนิ่งของเราก็จะไม่เหมือนใคร เป็นระบบที่หมออยู่กับคนไทยมา 23 ปี และสรุปได้ว่า นี่ คือคนไทย ต้องสอนกันอย่างนี้”
“ไม่เหนื่อย หรอกค่ะ” หมอต้อยย้ำเสียงใส เมื่อดูเหมือนว่าวันๆหนึ่งเธอต้องทำงานเยอะมาก ไม่มีวันหยุดแม้วัน เสาร์ อาทิตย์
“โชคดีหมอบ้านอยู่ใกล้ออฟฟิศ ถ้าวันไหนไม่ไปงาน ก็กลับไปอยู่กับลูกได้เร็ว ทานข้าวเสร็จ ก็เซ็นเอกสารอยู่ที่บ้าน ดูทีวี ออกกำลังกายด้วยการถีบจักรยานที่ถือว่าเรื่องนี้เป็นวินัยเลยที่ต้องทำให้ได้ทุกวันๆละ1ชั่วโมง
แม้วันนี้โครงสร้างของบริษัท เข้มแข็งพอ แต่หมอต้อยก็ยังพอใจที่จะเดินสายไปเยี่ยมเยียนสมาชิกในจังหวัดต่างๆ เป็นงานที่เธออยากทำ ที่จะได้ ไปสร้างขวัญกำลังใจ ไปเจอไปพูดคุยกับ สมาชิก นอกจากเรื่องงานแล้ว เวลาทั้งหมดที่เหลือเธอมอบให้สมาชิกสำคัญ 2คนที่บ้าน
น้อง กิฟท์ “สิริอร” อายุ15 ปี เริ่มเป็นวัยรุ่น เธอบอกว่าลูกมีความรับผิดชอบมากกว่าแม่ในวัย เดียวกัน ส่วนน้อง ฟ้า “พิชชาอร” อายุ12 ปี เป็นโรคออทิสติกส์ ตั้งแต่วัย 3 ขวบ เลยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ถ้ามองกันอีกมุมหนึ่งเธอ บอกว่า น้องฟ้าเป็นเด็กโชคดี เพราะคนเป็นโรคนี้จะมองคนอื่นในแง่ดี มาตรฐานความสุขของเขาจึงอาจ น้อยกว่าคนทั่วไป
หากชีวิตของเธอเป็นเหมือนนิยายเรื่องนี้คงจบลงแล้วด้วยความสุข ๆ แต่เมื่อไม่ใช่ วันนี้ชีวิตของเธอก็เลยยังคงต้องดำเนินต่อไป
ที่มา: http://www.marketeer.co.th/inside_detail.php?inside_id=5056

http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

มือบริหารขายตรง''กิฟฟารีน'' พ.ญ. นลินี ไพบูลย์

เธอได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมการขายตรงไทย ( TDSA ) เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2549 ที่ผ่านมา
และยังเป็น 1 ใน 10 ของนักธุรกิจสตรีไทยที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง นักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2549
พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด หรือ หมอต้อย ผันชีวิตจากอดีตหมอสูตินารี มาเป็นนักธุรกิจขายตรงระดับพันล้าน โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี หลังจากการเปิดคลินิกนอกเวลาแห่งแรกที่ย่านห้วยขวางและได้เปลี่ยนจากคลินิกรักษาโรคทั่วไป มาเป็นคลีนิครับปรึกษาเรื่องความงาม เธอเริ่มจากการรับยาจากหมอท่านอื่นมาขายต่อรวมทั้งดัดแปลงสูตรเพื่อให้คุณภาพ จนเมื่อมีลูกค้าให้การตอบรับมากยิ่งขึ้น จึงได้คิดขยับขยายช่องทางการตลาด และนับเป็นจุดเริ่มของเธอ
ช่วงแรกหมอตั้งใจจะขายไปสู่ช่องทางขายปลีก แต่เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่นหากจะเอาสินค้าไปวาง เช่นต้องมีค่าแรกเข้า ค่าโฆษณา และต้องมีสต๊อกสินค้าชัดเจน คิดแล้วเป็นจำนวนเงินนับสิบล้านบาท แล้วเราจะเอาเงินมาจากไหน แต่หลังจากที่ได้คำแนะนำเรื่องการขายตรงจากเพื่อน เธอพบว่าวิธีนี้นอกจากจะเป็นการช่วยกระจายสินค้าและบริการ ส่วนต่างที่ไม่ต้องจ่ายให้กับห้างร้าน ยังมาเป็นเงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้ทำหน้าที่ขายตรงแทน จึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ โดยร่วมกับสามี บุกเบิกธุรกิจขายตรงในชื่อว่า สุพรีเดอร์ม
ศึกษาและทำอย่างจริงจังนานอยู่ 9 ปี แต่หลังจากเลิกกับสามี หมอต้อยจึงได้แยกออกสร้างอาณาจักรธุรกิจขายตรง ในชื่อว่า กิฟฟารีน ด้วยเงินทุนที่ติดตัวมาขณะนั้น 100 ล้านบาท
เพียงปีแรกกิฟฟารีนก็ทำเป้ายอดขายทะลุ 348 ล้านบาท จนสินค้าขาดตลาดไม่พอจำหน่าย ก่อนจะไต่สู่ยอดขายระดับพันจนมาเป็น 2,600 ล้านบาทในปี 2547 และ, 2,890 ล้านบาท ในปี 2548 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 10.5% และในปี 2549 คาดว่าจะขายได้ตามเป้าจากที่วางไว้16% ในจำนวน 3,300 ล้านบาท โดยบริษัทเพิ่งฉลองยอดขายทะลุ 3,000 ล้านบาท เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาหรือหลังจากที่บริษัทตั้งมาได้ 10 ปีเศษ
ความสำเร็จของกิฟฟารีน มาจากการวางโมเดลธุรกิจของความต่าง ( differentiation )ที่โดนใจ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งการวางโปรดักซ์และบริการที่เข้าถึง-ครอบคลุมทุกเป้าหมาย อันเนื่องจากการให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลลูกค้า และการทำตลาดในเชิงบูรณาการ ผ่านการซื้อขายทางอินเตอร์เน็ท หรือการตั้งแผนกR&D นำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้กับกระบวนการผลิต เพื่อให้ราคาปลายทางเป็นที่ยอมรับของลูกค้า
แต่เหนืออื่นนั้น ก็คือการที่เธอสามารถบริหารโครงข่ายใยแมงมุม ตัวแทนขายตรงที่มีมากถึง 4.08 ล้านคน
พ.ญ.นลินีเคยกล่าวว่า ความจริงแล้วในด้านวัตถุดิบ คุณภาพและราคากิฟฟารีนไม่ได้แตกต่างไปจากสินค้าในตลาดเลย แต่ที่ให้ความสำคัญ ก็คือผลตอบแทนที่จ่ายให้กับฝ่ายขาย ซึ่งได้เอางบประมาณการตลาด ค่าใช้จ่ายในช่องทางขายปลีกมาจ่ายคืนกลับไปแก่ตัวแทนขายสินค้า เพราะเราถือว่าคนเหล่านี้เป็นหุ้นส่วน มีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายผู้บริโภค จึงมีส่วนในการรับรู้ทั้งรายได้ผลประกอบการ กำไรและค่าใช้จ่ายต่าง ๆของบริษัท ที่อยากให้แฮปปี้กับการทำงานกัน
และการเพิ่มเครือข่ายขายตรง ที่เห็นชัดอีกทางก็คือการสื่อผ่านโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาในชุด เรียนหนังสือสูงแล้วมาทำงานนี้จะเหมาะกับหรือเปล่า, ชุดคนที่มีความรู้น้อยจะทำงานนี้ได้ไหม หรือชุดเจ้าของกิจการมาทำงานตรงนี้ก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของกิจการได้เหมือนกัน เพื่อสื่อว่าคนมีงานประจำหากรู้จักแบ่งเวลาหรือคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการเสี่ยง ก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการโดยอาศัยความสามารถของตัวเอง
ปัจจุบันกิฟฟารีนมีสมาชิกร่วม 4.08 ล้านคน แบ่งเป็นแม่ทีมที่ทำธุรกิจ จริง ๆ ถึง 3 แสนคน เทียบจากปีแรกที่มีสมาชิกขายตรงเพียง 5,000 คน พร้อมโรงงานแห่งใหม่ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ แลบบอราทอรี่ แอนด์ เฮลท์แคร์ จำกัด ซึ่งเธอบอกว่าสร้างไว้ก็เพื่อให้เป็นบ้านของสมาชิก ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหารตัวจริงของบริษัท.
ไม่แปลกว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้กิฟฟารีน รุดพรวดด้วยยอดขายทยานกว่า 3,000 ล้านบาท ที่มา : http://news.sanook.com/economic/economic_65731.php

http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ นักขายตรงหมื่นล้าน

กิฟฟารีน (Giffarine) ภายใต้การบริหารของ ? พ.ญ.นลินี ไพบูลย์? ด้วยแนวคิด และวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ จนวันนี้แบรนด์ ?กิฟฟารีน? สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Mass สร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยที่มาแรง สามารถชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่างน่าจับตามอง ชื่อของ ?พ.ญ.นลินี? จึงกลายเป็นแบรนด์ของผู้หญิงเก่ง ที่ไม่มีนักธุรกิจคนไหนที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเธอ
ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่วันหนึ่งต้องหย่าร้าง และเลี้ยงลูกเพียงลำพัง อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนนั้นหมดหวัง แต่สำหรับ ?พ.ญ.นลินี ไพบูลย์? ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ตรงกันข้าม จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งนั้นทำให้พลังของ ?พ.ญ นลินี? ล้นเหลือกว่าที่หลายคนคิด
เข้าถึงใจลูกค้า
?พ.ญนลินี? รู้ว่าคุณสมบัติความเป็นแพทย์ และประสบการณ์จากการเปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไป และผิวหนัง บวกกับประสบการณ์ธุรกิจขายตรงในแบรนด์ ?สุพรีเดอร์ม? เมื่อครั้งยังไม่ได้หย่าจากสามี เพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานให้ ?หมอนลินี? หรือ ?หมอต้อย? รู้ความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยรับผิดชอบหรือทำธุรกิจด้วยตัวเอง เส้นทางนักธุรกิจของพ.ญ.นลินี จึงดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้ยิ่งต้องค้นหาความรู้ทั้งจากตำรา และการเข้าชั้นเรียนเพื่อเสริมความรู้ด้านธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
แม้ในช่วงแรกจะมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้างอยู่บ้าง เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มถดถอยก่อนปี 2540 ซึ่งเป็นการยากที่แบรนด์ใหม่จะแจ้งเกิดในตลาด แต่เสียงความมุ่งมั่นของพ.ญ.นลินีดังกว่า
ทุกคนต้องการ ?ความสวยงาม? และ ?ความมั่นคง? ของชีวิต คือคำตอบที่เข้าถึงความรู้สึกคนทุกคนมากที่สุด จากจุดนี้จึงต่อยอดให้ ?กิฟฟารีน? แบรนด์ขายตรงที่ ?พ.ญ.นลินี? สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 2538 ยืนได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยในปี 2540 พังครืนจากค่าเงินบาทลอยตัว และคนว่างงานกันมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขายตรงเป็นทางออกของบางคนในช่วงนั้น
หาจุดต่างแจ้งเกิด
ด้วยความที่กิฟฟารีนเป็นสินค้าแบรนด์ไทย ขณะที่มีสินค้าแบบเดียวกันเป็นแบรนด์จากต่างประเทศทำตลาดอยู่มาก สนามที่พ.ญ.นลินีต้องลงแข่งขันจึงไม่ธรรมดา โจทย์ที่ต้องหาคำตอบ คือการหาจุดต่าง
การใช้จุดต่าง (Differentiation) ในการวาง Positioning ของสินค้า เป็นสูตรที่หลายๆ สินค้าและบริการนำมาใช้เสมอ ?กิฟฟารีน? ก็เช่นกันที่ต้องหาจุดต่าง และเนื่องจากเป็นธุรกิจขายตรง จุดต่างจึงต้องมีใน 2 ส่วน คือผลิตภัณฑ์ที่เสนอต่อลูกค้า และระบบบริหารเครือข่าย
พ.ญ.นลินีบอกว่า ?ความเป็นหมอสอนไว้ว่า ไม่ให้เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อต้องเริ่มต้นบอกกับลูกค้า กิฟฟารีนเลือกวิธีชี้แจงส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ ทำให้ไม่มีข้อโต้แย้งได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนต่างจากแบรนด์อื่น?
ส่วนความต่างที่ให้กับสมาชิกเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายจำนวนมาสมาชิกที่ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า คือ นอกจากให้ส่วนแบ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแล้ว ยังให้ความรู้สึกแก่สมาชิกว่าเป็นเสมือนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สามารถรับรู้รายจ่าย รายได้ของบริษัทอีกด้วย
สูตรบริหาร
หากถามถึงหลักการทำงานแล้ว พ.ญ.นลินีบอกว่ามี 2 หลักใหญ่ หลักการแรกคือความระมัดระวัง เมื่อมีข้อผิดพลาด ให้เร่งหาสาเหตุโดยเร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุด
?เมื่อเราไม่ได้มีพื้นฐานทางธุรกิจมาก่อน เวลาทำก็ต้องบริหารจัดการงานด้วยความระมัดระวัง เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราเริ่มกิจการจากกิจการเล็กๆ เริ่มต้นจากศูนย์ จึงต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ เติบโต เรียนรู้ปัญหา ข้อผิดพลาด เรียกได้ว่าเติบโตจากการเรียนผิดเรียนถูก ข้อบกพร่อง Trial and Error และต้องตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นต้องรีบแก้ไข หาสาเหตุให้เร็วที่สุด?
หลักการที่สองพ.ญ.นลินีใช้หลักจิตวิทยา ในการบริหารบุคลากร และเครือข่ายของกิฟฟารีน ด้วยหลักการคิดที่ว่าทำให้คนที่ทำงานด้วยมีความสุข เห็นใจซึ่งกันและกัน คิดถึงใจคนที่มาอยู่ด้วยกัน ให้เขาเติบโต และมีความเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน เติบโตไปด้วยกัน ไม่ Centralize ที่ตัวเอง ต้องรู้ว่าคนทำงานกับเรา เขาต้องการอะไรและรับฟังความคิดเห็นของเขา
ส่วนจะมีบ้างหรือไม่สำหรับพ.ญ.นลินีที่เกิดความรู้สึกท้อแท้ คำตอบโดยอัตโนมัติจากพ.ญ.นลินี คือไม่เคยท้อ ปัญหาที่เข้ามาถือเป็นความท้าทาย อุปสรรคที่เข้ามาต้องรีบคิดหาสาเหตุและแก้ไขให้ได้ ส่วนกำลังใจที่สำคัญคือมาจากครอบครัว และความที่ต้องรับผิดชอบต่อคนจำนวนมาก
สวยปิ๊งเสริมแบรนด์
เมื่อเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามและสุขภาพ พ.ญ.นลินีบอกว่าการวาง Positioning ตัวเองเพื่อให้สะท้อนแบรนด์สินค้าเป็นสิ่งจำเป็น
?บุคลิกเราเป็นแบรนด์เหมือนกัน ธุรกิจเราต่างจากธุรกิจค้าปลีก Consumer Product ทั่วไป เราต้องแสดงความเป็นธุรกิจขายตรง และเครือข่าย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตัวเราเป็นจะบ่งบอกถึงสินค้าของเรา เมื่อเราเป็นธุรกิจขายตรงให้ความจริงใจกับสมาชิกและลูกค้า เพราะฉะนั้นเวลาพูดกับใครต้องชัดเจน ตัวเองก็เป็นคน Clear อยู่แล้ว และที่สำคัญต้องใช้ Prodcut ของตัวเอง?
จึงเป็นภาพที่พบเห็นเสมอสำหรับ ?พ.ญ.นลินี? เมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนมักสวยปิ๊ง และเนี้ยบ แม้ชุดที่คุ้นตาที่สุดคือในชุดสูททำงานสุดเท่ แต่จริงๆ แล้วพ.ญ.นลินีบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบแต่งตัว บางครั้งก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เพียงแต่การแต่งกายในช่วงทำงาน หรือออกงานต่างๆ ก็ต้องให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ
ที่สำคัญคือ ไม่ได้เป็นคนที่ยึดติดว่าต้องใส่ชุดของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง สำหรับชุดที่สวมใส่ประจำเช่น Flynow และ G2000 ซึ่งความลงตัวตลอดเวลานั้น ทั้งหมดเป็นฝีมือเลือก และแต่งด้วยตัวเองของพ.ญ.นลินี โดยไม่จำเป็นต้องมีดีไซเนอร์มาช่วยจัดให้แต่อย่างใด
ส่งพลังลุยปี2008
ปี 2007 สำหรับกิฟฟารีนแล้วทั้งจากยอดขายที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญพ.ญ.นลินีได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 ของนักธุรกิจไทย จากทั้งหมด 15 คนทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2007 (Leading Women Enterpreneurs of the World 2007) ซึ่งพ.ญ.นลินีบอกว่าถือเป็นช่วงสำคัญของจังหวะชีวิตในปีนี้
จากจุดนี้ พ.ญ.นลินีบอกว่าผลงานในปี 2007 สะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าของธุรกิจกิฟฟารีน ในด้านความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นวัดจากผลประกอบการ เพราะรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลกซึ่งพิจารณาจากผลประกอบการของธุรกิจที่ทำอยู่ด้วย ส่วนที่สอง มองว่าคนไทยเริ่มเข้าใจแบรนด์ และมองธุรกิจกิฟฟารีนเป็นมิตรมากขึ้น
ผลที่งอกงามสำหรับพ.ญ.นลินีในปี 2007 มาจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นปีที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์สร้างให้ลูกค้ายอมรับนับถือแบรนด์กิฟฟารีนให้มากที่สุด ซึ่งนอกจากพ.ญ.นลินีจะบริหารธุรกิจด้วยตัวเองแล้ว ยังเป็นครีเอทีฟดูแลหนังโฆษณาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2006
แม้ ?กิฟฟารีน? จะไม่ได้ทำธุรกิจแบบเดียวกับแบรนด์ ?มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์? ของอังกฤษ ที่พ.ญ.นลินีเลือกเป็นแบรนด์ที่ชื่นชอบ ด้วยเหตุผลว่าเพราะมี Products ทุกอย่าง ลูกค้าที่เข้าไปซื้อของที่นี่จะซื้อด้วยความมั่นใจ เป็นแบรนด์ของคนทั่วโลก ที่น่าสนใจเพราะสามารถทำสำเร็จในการจับตลาด Mass ได้หมด
แต่การเข้าถึง Mass คือเป้าหมายเดียวกัน โดยเฉพาะปี 2008 ที่พ.ญ.นลินีวางแผนให้กิฟฟารีนมีผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสนองตอบลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม B ถึง C+ และให้ผู้ที่มาร่วมธุรกิจมีโอกาสเติบโตมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือให้แบรนด์กิฟฟารีนแข็งแรง เป็นที่ประทับใจของลูกค้าจำนวนมากเหมือนกัน
Profile
แบรนด์ : กิฟฟารีน ลักษณะธุรกิจ : ระบบธุรกิจขายตรง MLM (Multi Level Marketing) รายได้ : ปี 2549 - 3,400 ล้านบาท ปี 2550 - คาด 3,900 ล้านบาท รวม 11 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ สร้างยอดขายรวม 23,000 ล้านบาท งบการตลาด : ปี 2550 มูลค่า 60-80 ล้านบาท
Name : แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ Age : 48 ปี Education : มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แพทย์ศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวชวิทยา) Career Highlights : 2538-ปัจจุบัน ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ประธานกรรมการ โรงเรียนศิลปะศาสตร์การแต่งหน้า กิฟฟารีน
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

กิฟฟารีนผุดศูนย์ภูมิภาค รับตลาดขายตรงปีหน้าเฟื่อง

กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ เดินหน้าแผนการตลาดเข้ม ลงทุนเปิดศูนย์ธุรกิจเซ็นเตอร์ 6 แห่ง มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท รองรับจำนวนนักธุรกิจกิฟฟารีน ที่คาดว่า จะพุ่งขึ้นในปีหน้า เนื่องจากผู้บริโภคที่มากขึ้น และนักธุรกิจเครือข่ายต้องการรักษาความมั่นคงของรายได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวพ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโตแค่ 0-2% ประกอบกับความเสี่ยงของอัตราการจ้างงานที่มีแนวโน้มลดลง โดยจำนวนคนว่างงาน คาดว่า จะสูงถึง 2 ล้านคน ส่งผลให้ประชาชนมองหาอาชีพที่สองเพิ่มขึ้น ซึ่งการเข้ามาเป็นนักธุรกิจอิสระของธุรกิจขายตรงถือเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ กิฟฟารีนเองคาดว่าจะมีนักธุรกิจอิสระเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5-10% จากประมาณ 5 ล้านรหัส ในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมขายตรงโดยรวมที่จะมีนักธุรกิจอิสระเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันพ.ญ.นลินี ได้กล่าวถึงผลการสำรวจภาพรวมอุตสาหกรรมขายตรงโดย บริษัท ไทเลอร์ เนลสัน ซอฟเฟรส (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งร่วมกับสมาคมการขายตรงไทยด้วยว่า ผลสำรวจพบว่ามีถึง 73% ของกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คนเข้าสู่ธุรกิจขายตรงเพื่อหารายได้เสริม ขณะที่ 65% ของกลุ่มตัวอย่างเข้าสู่ธุรกิจเพื่อซื้อสินค้าไว้ใช้เอง เนื่องจากเชื่อในคุณภาพของสินค้าและราคาที่เหมาะสมกว่าสินค้าที่ขายทั่วไปสำหรับศูนย์ธุรกิจเซ็นเตอร์ที่เตรียมสร้างในปีหน้า จะมีรูปแบบที่ทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันให้กับนักธุรกิจ และผู้บริโภคที่สมัครเป็นสมาชิก ทั้งการสั่งซื้อสินค้า การให้บริการคำปรึกษาในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ และเป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและสัมมนาให้กับนักธุรกิจ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้สร้างศูนย์ธุรกิจดังกล่าวแล้วเสร็จไปแล้ว 5 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พิษณุโลก ศูนย์พหลโยธิน ศูนย์สุราษฎร์ธานี ศูนย์ขอนแก่น และศูนย์พระประแดง ประมาณ 80 ล้านบาท โดยมีโครงการจะเปิดศูนย์ธุรกิจที่บางแคและลำปางในช่วงต้นปีหน้า รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกิฟฟารีน มีศูนย์ธุรกิจเปิดให้บริการกว่า 95 สาขาทั่วประเทศการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนต่อ เนื่องจากปีนี้หลังจากที่กิฟฟารีนได้ลงทุนทั้งภาคการผลิตโดยการเปิดโรงงานแห่งใหม่มูลค่า 700 ล้านบาท ณ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ห้องทดลองกลาง (Central Lab) ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา (Research & Development Lab) ซึ่งมีหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ และภาคบริการโดยปรับปรุงและพัฒนาศูนย์ธุรกิจกิฟฟารีนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี 2551 ที่ผ่านมาสำหรับผลประกอบการรวมที่ผ่านมาของกิฟฟารีน ถึงปัจจุบัน มีประมาณ 30,000 ล้านบาท และได้มอบผลประโยชน์คืนกลับให้แก่นักธุรกิจกิฟฟารีนไปแล้วกว่า 14,000 ล้านบาท
ที่มา :www.manager.co.th
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นายจ้าง-ลูกจ้างเตรียมรับมือไข้หวัด 2009 ระบาดรอบสอง

นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมและนิทรรศการการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการโดยมีนายจ้างและลูกจ้างจากสถานประกอบการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คนว่าการประชุมวันนี้เป็นการประชุมเพื่อเน้นให้นายจ้างและลูกจ้างได้ตระหนักถึงการดูแลป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะกลับมาแพร่ระบาดในรอบที่สอง อาทิ นายจ้างควรจัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของลูกจ้างก่อนเข้าทำงาน พร้อมทั้งจัดจุดบริการเจลอนามัย สำหรับล้างมือให้กับลูกจ้าง
ขณะที่ลูกจ้าง ควรป้องกันตนเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยขณะทำงานหรืออยู่ในที่คนแออัด รวมถึงออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค หากผู้ประกันตนที่แพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคดังกล่าว สามารถใช้สิทธิเข้ารับการรักษา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานยอดผู้ประกันตนที่ติดเชื้อดังกล่าว เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อเป็นผู้สูงอายุ และเด็กเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย
แหล่งที่มา: http://blog.beenverified.com/what-to-look-for-in-2009or-what-companies-will-survive-the-coming-economic-storm/2008/10/20/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

หุ้นไทยผันผวน เหตุกังวลการเมือง

บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันที่ 26 ส.ค. ดัชนีแกว่งตัวผันผวน แต่สามารถปิดบวกได้ โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 661.04 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 654.89 จุด จนมาปิดตลาดที่ 658.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.82 จุด หรือร้อยละ 0.43 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24,007.44 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็ม เอ ไอ ปิดที่ 180.30 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 270.60 ล้านบาท
ด้านสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิที่ 30.07 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 329.77 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 359.84 ล้านบาท โดยนายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผอ.อาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนบางช่วงบวกได้ แต่บางช่วงติดลบเล็กน้อย โดยมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลางและเล็กที่ได้รับประโยชน์จากการลดลงของราคาน้ำมันดิบ เช่น ขนส่ง และโรงกลั่น แต่ช่วงบ่ายมีแรงเทขายหุ้นพลังงานและธนาคารออกมา เพราะนักลงทุนกลับมากังวลการเมืองในประเทศอีกครั้ง หลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคัดค้านการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ (27 ส.ค.) มองว่า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวนและอาจเผชิญแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นออกมา หากไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ 660 จุด เพราะนักลงทุนยังกังวลเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยต้องติดตามราคาน้ำมันดิบ และการปรับตัวของตลาดต่างประเทศ ประเมินแนวรับที่ 650-653 จุด และแนวต้าน 662-665 จุด ด้านกลยุทธ์แนะนำเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็ก.-สำนักข่าวไทย
ที่มา: http://news.mcot.net/economic/inside.php?value=bmlkPTExMTc4MiZudHlwZT10ZXh0
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

40% ของข้อความ Tweet เป็นเรื่องไร้สาระ

บริษัทวิจัย Pear Analytics ในสหรัฐได้ลองเก็บตัวอย่างข้อความใน Twitter แบบสุ่มจำนวน 2,000 ข้อความ แล้วนำมาแยกแยะเป็น 6 หมวด ได้แก่ ข่าว, สแปม, โปรโมทตัวเอง, บ่นไปเรื่อย (ต้นฉบับใช้คำว่า pointless babble), บทสนทนา และอย่างสุดท้ายคือ "tweet ที่มีคุณค่า"
ผลคือหมวด "บ่นไปเรื่อย" (เช่นข้อความว่า "I'm eating a sandwich") มีสัดส่วนสูงถึง 40% (แต่จะว่าไป Twitter ออกแบบมาเพื่อแบบนี้อยู่แล้ว?) ตามมาด้วยบทสนทนาระหว่างผู้ใช้ Twitter กันเอง 37.5% ส่วนข้อความที่มีคุณค่า กลายมาเป็นข่าวได้ อยู่ที่ 8.7%
สแปมคิดเป็น 5.85% และโปรโมทตัวเอง 3.75% แต่สัดส่วนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเริ่มมีบริษัทห้างร้านต่างๆ หันมาใช้ Twitter เป็นเครื่องมือทางการตลาดมากขึ้น
ที่มา : http://kalanyuz.com/aggregator/sources/1?page=3
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ศาลสั่งให้ Microsoft หยุดขายโปรแกรม Microsoft Word 2003 และ 2007

รายงานข่าวล่าสุดจากเว็บไซต์บีบีซีระบุว่า ศาลชั้นต้นในสหรัฐฯ ได้สั่งให้บริษัทไมโครซอฟท์จ่ายค่าเสียหายเป็นเงินมากกว่า 290 ล้านเหรียญฯ (ประมาณหนึงหมื่นล้านบาท) ในข้อหาตั้งใจละเมิดสิทธิบัตรของ I4i บริษัทซอฟต์แวร์ในแคนาดา
สำหรับสิทธิบัตรที่ถูกละเมิดจะว่าด้วยเรื่องของการประยุกต์ใช้ XML ภาษาโปรแกรมที่ใช้ในการจัดรูปแบบของข้อความ และทำให้ไฟล์ข้อมูลที่ใช้ฟอร์แมตนี้สามารถถูกอ่านขึ้นมาด้วยโปรแกรมต่างๆ ได้ ซึ่งการใช้ XML ในลักษณะดังกล่าวจะพบได้ในซอฟต์แวร์ Microsoft Word โดย Leonard Davis ศาลชั้นต้นในเท็กซัสยังได้ออกคำสั่งห้าม ไม่ให้ไมโครซอฟท์จำหน่ายซอฟต์แวร์ Word อีกด้วย (ซึ่งรวมถึงที่ไปกับชุดโปรแกรม Office)
ในส่วนของ I4i ได้จดสิทธิบัตรว่าด้วยการจัดการโครงสร้าง และเนื้อหาของเอกสารแยกจากกัน โดยมี XML เป็นเครื่องมือให้ผูั้ใช้ใช้ในการจัดรูปแบบของเอกสารข้อความ นอกจากนี้ XML ยังถูกใช้ในโปรแกรมเวิร์ดตัวอืนๆ ด้วยอย่างเช่น OpenOffice ด้วย
นอกจากจะโดนค่าปรับถึง 290 ล้านเหรียญฯแล้ว ศาลยังมีคำสั่งห้ามขาย และ/หรือ นำเข้าในสหรัฐฯ สำหรับซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใดๆ ที่สามารถเปิดไฟล์ XML ที่ได้รับการปรับแต่งอีกด้วย (ไฟล์ที่มีนามสกุล .xml, .docx หรือ .docm) ทั้งนี้ไมโครซอฟท์มีเวลา 60 วันในการปฎิบัติตามคำสั่งศาล อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะยื่นอุทธรณ์อย่างแน่นอน "เรารู้สึกผิดหวังกับคำพิพากษาของศาล" Kevin Kutz โฆษกประจำบริษัทไมโครซอฟท์กล่าว "แต่เราก็เชื่อว่า เรามีหลักฐานที่ชัดเจนในการแสดงให้ศาลเห็นว่า เราไม่ได้ละเมิด และสิทธิบัตรของ I4i ใช้ไม่ได้ เราจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาล"

(สิทธิบัตรของ i4i นั้นเป็นสิทธิบัตรแบบครอบจักรวาลอันหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไมโครซอฟท์เคยต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับ i4i ไปแล้ว 200 ล้านดอลลาร์)
ที่มา : http://hitech.sanook.com/technology/news_13129.php
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ิกิฟฟารีนเท 100ล. ลุยโฆษณาปลุกยอด

หลังคว้า 2 รางวัลกิฟฟารีน ปลื้มยอดขาย 4 เดือนแรกทะลุเป้า แม้ภาพรวมตลาดจะเติบโตไม่หวือหวา พร้อมทุ่มงบ 100 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาลุยตลาดไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่อง ขณะที่ล่าสุดคว้า 2 รางวัลทั้งซูเปอร์แบรนด์ และอย. ควอลิตี้ อะวอร์ด 2009
พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในช่วง 4 เดือนแรกยังมีการเติบโต แต่เป็นการเติบโตใกล้เคียงกับการเติบโตของธุรกิจทั่วไป ซึ่งหากว่าไม่มีปัจจัยลบ โดยเฉพาะปัญหาการเมือง คาดว่าการเติบโตของตลาดจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ในส่วนของบริษัทนั้นยังมีการเติบโตประมาณ 10-10% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเป็นผลมาจาการที่บริษัทรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย และการเพิ่มจำนวนสมาชิก ที่ในแต่ละเดือนจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น 3-4 หมื่นคนต่อเดือน
ทั้งนี้นอกเหนือจากแผนการรุกตลาดด้วยการขยายธุรกิจด้วยการเปิดรับศูนย์ไลน์เซนซี่แล้ว ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของกิฟฟารีน เพื่อตอกย้ำแบรนด์ลอยัลตี้ให้อยู่ในใจผู้บริโภค คาดว่าจะใช้งบประมาณเท่ากับปีก่อน คือ 80-100 ล้านบาท นอกจากนี้สิ่งที่ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ ล่าสุดบริษัท ได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัล "Superbrands 2008-2009 ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำจุดแข็งในเรื่องของความสำเร็จในด้านการสร้างแบรนด์ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ ที่บริษัทได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 13 ปีของการดำเนินงาน เพื่อให้แบรนด์และผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่สามารถสร้างชื่อเสียง และความภูมิใจให้กับประเทศไทยในตลาดต่างประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับคัดเลือกให้เข้ารับรางวัล "อย. QUALITY AWARDS 2009" (อย. ควอลิตี้ อะวอร์ด 2009) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อย.ได้มอบรางวัลให้เป็นกำลังใจแก่ผู้ประกอบการที่มีคุณธรรมและจริยธรรมในการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ในปีนี้ รวมทั้งสิ้น 22 รางวัล โดยได้คัดเลือกจากผู้ประกอบการกว่า 10,000 ราย และได้จัดพิธีมอบรางวัลดังกล่าวไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การผลิตผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์กิฟฟารีนนั้น บริษัททุ่มเทด้านการผลิตสูงสุด ด้วยการก่อตั้งโรงงานขนาดใหญ่บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ใช้งบประมาณกว่า 700 ล้านบาท พร้อมทีมแพทย์และเภสัชกรในห้องปฏิบัติการ Central Lab ที่วิจัยและพัฒนาด้านการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามที่มีคุณภาพสูง และเหมาะสมกับคนไทยอย่างแท้จริง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2429 24 พ.ค. - 27 พ.ค. 2552
ที่มา: http://www.thannews.th.com/detialnews.php?id=M2124293&issue=2429
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เศรษฐกิจ ปี 2552 คุณคิดว่าธุรกิจอะไรจะอยู่รอด?


วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis)” ที่เกิดขึ้นมาจากสถาบันทางการเงินระดับยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาต้องล้มครืน ส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หลายองค์กรใหญ่ๆ ในภาคการผลิต (Manufacturing) ได้รับผลกระทบโดยตรง เหล่าบริษัทขนาดใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น บริษัทอุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิก บริษัทอุตสาหกรรมการบิน บริษัทอุตสาหรรมขนส่ง สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ระดับโลก และอีกหลายธุรกิจ ที่ประกาศปลดพนักงานเป็นรายวัน อย่างที่เป็นข่าวครึกโครมอยู่ในทุกวันนี้ มันทำให้เรารู้สึกใจหายกันมากทีเดียว
ในเมืองไทย ธุรกิจ SME หลายแห่ง แห่ปิดตัวตามๆกันเลย ส่วนบางธุรกิจที่ดีหน่อยยังพอประคองตัวรอดได้ แต่ก็ save cost
พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสกันอย่างไรดี?ชาวบล็อกคนหนึ่งที่ชื่อ “Josh” เค้าได้สรุปถึง การทำธุรกิจออนไลน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตไว้ว่า... ธุรกิจนี้น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับองค์กรและบุคคลที่กำลังมองหาธุรกิจ “Blue Ocean” (หมายถึง ธุรกิจในมหาสมุทรสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจตลาดที่คู่แข่งยังมีไม่มาก) โดยเค้ามองว่าธุรกิจที่น่าจะประสบความสำเร็จในปี 2009 คือ
1.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการสร้างรายได้ (Help people / businesses make money.)
2.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการประหยัดเงิน (Help people / businesses save money.)
3.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการเข้าถึงแหล่งเงินหรือแหล่งทุน (Help people / businesses access money.)
จากการวิเคราะห์ตามแนวทางนี้แล้ว มันก็เป็นธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจสร้างรายได้เพราะ ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอลจริงๆ โลกเราทุกวันนี้เป็นโลกแห่งอินเทอร์เน็ต ใครอยากรู้อยากหา อยากอ่าน หรือแม้กระทั่ง อยากซื้อสินค้าอะไรก็ค้นหาได้ทางอินเทอร์เน็ต ธุรกิจนี้จึงเป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ และเป็นทางเลือกให้แก่คนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างรายได้อย่างไร้ขีดจำกัดในยามเศรษฐกิจถดถอยแบบนี้
ซึ่ง Josh ยังคาดการณ์ด้วยว่าเศรษฐกิจแบบนี้ จะมีคนอยู่กับบ้านแล้วเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทั้งหางานทำ หาเพื่อน ดูหนัง เล่นเกม ขายของเก่า ฯลฯ เขาจึงคิดว่าถ้ามีผู้ทำธุรกิจ ด้านจัดหางาน ขายเกม ขายหนัง ธุรกิจหาเพื่อน (หาแฟน) ธุรกิจให้คำแนะนำเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดไฟหรือน้ำ พวกนี้สร้างรายได้ให้เราได้แน่นอน.
โอกาสดีๆ มีอยู่รอบๆตัวเราเองเสมอๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นมันหรือไม่..และเมื่อมองเห็นแล้วจะคว้ามันไว้ และทำมันให้สำเร็จได้หรือไม่...
แหล่งที่มา: http://blog.beenverified.com/what-to-look-for-in-2009or-what-companies-will-survive-the-coming-economic-storm/2008/10/20/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

อำพน อัดยับสหภาพบินไทย!บริษัทระส่ำมีหน้าขอโบนัส-ปรับขึ้นเงินเดือน!


สหภาพบินไทยไม่สำเหนียกเรียกร้องสวนกระแสบริษัทที่กำลังเผชิญวิกฤติขาดทุน ขนพนักงานกดดันบอร์ดปรับเงินเดือน โบนัส พร้อมบี้บอร์ดทีจีทบทวนแต่งตั้ง 2 ผู้บริหารใหม่ ด้านประธานบอร์ดฟิวส์ขาดอัดยับพฤติกรรมผู้นำสหภาพ บริษัทกำลังจะล้มละลายดันเห็นแก่ได้ ซัดกลับหากยังไม่เจียมตัวก็เตรียมปิดบริษัทได้เลย
ที่มา: http://www.ryt9.com/economy/2009-08-08/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ซีพีกำไรพุ่งปลิ้นสวนกระแสวิกฤติ ไตรมาส2เฉียด4พันล้าน ในรอบ 30 ปี


นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของซีพีเอฟในไตรมาส 2 ของปีนี้ กำไร 3,190 ล้านบาท ส่งผลให้ในรอบ 6 เดือน กำไรทั้งสิ้น 3,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว 176% ซึ่งผลประกอบการในไตรมาส 2 นี้ถือว่าดีที่สุดตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือกว่าในรอบ 30 ปี ทั้งนี้ เป็นผลจากกลยุทธ์ที่ใช้ ประกอบด้วย 1.การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในฟาร์มและการลดต้นทุน 2.การขยายธุรกิจในหลายประเทศเริ่มส่งผลตอบแทนกลับมาชัดเจน เช่น อินเดีย มาเลเซีย
ที่มา: http://www.ryt9.com/s/psum/624551/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

Microsoft จะฟ้อง TomTom ข้อหาละเมิดสิทธิบัตร งานนี้ลินุกซ์มีโดนพาดพิงด้วย

TomTom บริษัททำพวกอุปกรณ์ GPS ในรถจะถูกฟ้องโดยไมโครซอฟท์ในกรณีละเมิดสิทธิบัตร ซึ่งในข้อหาทั้งหมด 8 ข้อนั้น มี 3 ข้อเกี่ยวเนื่องกับการใช้ Linux kernel ในอุปกรณ์ของ TomTom ด้วย!
งานนี้ไมโครซอฟท์แถลงข่าวว่า บริษัทจำเป็นจะต้องฟ้อง TomTom เพราะว่า TomTom ไม่ยอมตกลงเรื่องนี้กับไมโครซอฟท์ ทั้งๆที่ บริษัทผู้ผลิต GPS รายอื่นก็ตกลงหมดแล้ว โดยการฟ้องครั้งนี้ไมโครซอฟท์ไม่ได้มุ่งฟ้องแต่เรื่องที่เกี่ยวกับ Opensource เพราะมีหัวข้ออื่นที่เกี่ยวข้องกับ Proprietary software ด้วย ดังนั้นชุมชนโอเพนซอร์สอย่าได้เข้าใจผิด ไมโครซอฟท์ยังเคารพและชื่นชมแนวทางของโอเพนซอร์สอยู่เสมอ การฟ้องครั้งนี้เป็นไปเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทเท่านั้น
ส่วนคู่กรณี TomTom ยังไม่มีการแถลงข่าวใดๆทั้งสิ้น
http://akedemo.wordpress.com/2009/02/26/microsoft-sues-tomtom-over-patent-suit/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ไมโครซอฟท์ถูกฟ้องเพราะแจกตรา Windows Vista Capable

Dianne Kelley ผู้ซื้อคอมพิวเตอร์ได้ยื่นฟ้องต่อไมโครซอฟท์ในฐานที่พยายามโฆษณาวิสต้าผ่านทางโลโก้ Windows Vista Capable บนโน้ตบุ๊กจำนวนมากในปีที่ผ่านมา แต่เมื่อใช้งานจริง โน้ตบุ๊กเหล่านั้นกลับไม่สามารถทำงานได้ครบถ้วนทุกฟีเจอร์ของวิสต้า เช่น Aero ที่ไม่สามารถใช้งานได้ในเครื่องที่การ์ดจอไม่แรงพอ
ขณะที่ไมโครซอฟท์ระบุสเปคเครื่องและความสามารถที่ทำงานได้ในวิสต้ารุ่นต่างๆ ไว้ชัดเจนแต่บนโลโก้ Vista Capable นั้นกลับไม่มีการระบุว่าการรองรับของเครื่องเหล่านั้นเป็นการรองรับที่ระดับใด คำฟ้องจึงพยายามชี้ประเด็นที่ว่าไมโครซอฟท์ผู้ใช้ที่ซื้อเครื่องเหล่านั้นกลับไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ซึ่งเป็นวิสต้า "ที่แท้จริง" บนเครื่องของเขาได้
http://www.blognone.com/node/4341
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

กิฟฟารีน!รับอานิสงส์หวัดใหญ่ (ยอดขายฟ้าทะลายโจรทะลุ 50%)“

กิฟฟารีน” แจงผลประกอบการครึ่งปีแรก ยอดขายไม่กระเตื้อง หลังเจอมรสุมการเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจับจ่ายผู้บริโภคลดลง แต่ครึ่งปีหลัง ยอดขายเริ่มโต เหตุรับอานิสงส์ไข้หวัดใหญ่ ฉุดยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมสารสกัดจาก “ฟ้าทะลายโจร-กระเทียม” ขายดิบขายดี มั่นใจสิ้นปีรายได้เฉียด 4,200 ล้านพ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ถึงผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ผ่านมาว่า มีอัตราการเติบโตของยอดขายไม่ถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มียอดขายเติบโตอยู่ที่ประมาณ 11-12% อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของ “กิฟฟารีน” ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ก็ถือว่า ยังคงมีอัตราการเติบโตของยอดขายได้ดี โดยอยู่ที่ประมาณ 7% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,400 ล้านบาท ขณะที่ทั้งปีนี้ คาดว่า ยอดขายจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากปีที่ผ่านมา หรือปิดผลประกอบการอยู่ประมาณ 4,200 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดธุรกิจขายตรงนั้น จะยังคงมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 7%สำหรับสาเหตุที่ทำให้ช่วงครึ่งปีแรก อัตราการเติบโตของยอดขายโดยรวมไม่ถึง 10% นั้น เป็นเพราะในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ได้เกิดปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่อเนื่องเช่นกัน ส่งผลให้อารมณ์การจับจ่ายซื้อสินค้าของผู้บริโภคลดน้อยลงตามลำดับ ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคไม่เกิดความมั่นใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ หันมาออมเงินมากขึ้นขณะที่ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จะพบว่า ผู้บริโภคเริ่มหันมาจับจ่ายซื้อสินค้า เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะปัญหาในทางการเมืองนั้น ได้เริ่มสงบลง ส่งผลให้ผู้บริโภคกลับมามีอารมณ์ในการใช้จ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น โดยในช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคม กิฟฟารีนมีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 10%“ยอดขายของกิฟฟารีนในปีนี้ คง มีอัตราการเติบโตไม่มาก คาดว่าจะมียอด ขายเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเล็กน้อย โดยเฉพาะยอดขายที่เพิ่มขึ้นมา หลังได้รับอานิสงส์จากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้แก่ ยอดขายจากผลิต ภัณฑ์เสริมอาหารผสมสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 50% ทุกเดือน”พ.ญ.นลินี ยังกล่าวถึงแผนงานใน ช่วงครึ่งปีหลังว่า ได้เตรียมงบการตลาดไว้ ประมาณ 80-90 ล้านบาท เพื่อใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์แบรนด์กิฟฟารีน ซึ่งถือเป็นงบการตลาดที่มีความใกล้เคียง กับทุกๆ ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทได้เตรียมออกภาพยนตร์โฆษณาจำนวน 7 เรื่อง ในการสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคให้รู้จักแบรนด์กิฟฟารีนมากขึ้น อีกทั้งเพื่อ เป็นการสร้างความเข้าใจในธุรกิจเครือข่าย ให้กับผู้บริโภคที่สนใจให้เข้าใจและตัดสินใจมาทำธุรกิจร่วมกับกิฟฟารีนได้ง่ายขึ้นอีกด้วยโดยในเดือนสิงหาคมนี้ กิฟฟารีนจะออนแอร์ออกอากาศภาพยนตร์โฆษณา ในสื่อทีวีและวิทยุ จำนวน 3 เรื่อง ซึ่งเรื่อง แรกได้ทำการออกอากาศไปแล้ว ในวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเป็นการนำเสนอ ให้เห็นถึงโครงสร้างของเครือข่ายผู้ที่ใช้สินค้า ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเป็นนักธุรกิจกิฟฟารีน ซึ่งภายในเนื้อเรื่อง จะพยายามสื่อให้เห็นว่า การทำงานกิฟฟา รีน จะเริ่มต้นจากตัวผู้ใช้สินค้าเอง และได้ มีการชวนเพื่อนให้เข้ามาร่วมใช้ ซึ่งจะทำให้ เกิดความเข้าใจในเรื่องของระบบงานเครือ ข่าย และการรับรู้ถึงรายได้ที่จะกลับเข้ามา สู่นักธุรกิจกิฟฟารีน โดยภาพยนตร์เรื่องแรกนี้ จะมีความยาวทั้งหมด 45 วินาที ซึ่ง ระยะเวลาการออกอากาศประมาณ 10 วัน ก่อนที่จะนำเอาภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ออกอากาศต่อเนื่องให้ผู้ชมทางบ้านได้ดูสำหรับภาพยนตร์ในเรื่องที่ 2 มีชื่อว่า “จรรยาบรรณ” ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน โดยเป็นการสืบเนื่องมาจากภาพยนตร์โฆษณาชุด “Heart” ของปีที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังจะได้มีการเล่าถึงกระบวน การคัดสรรสินค้า กระบวนการกลั่นกรองวัตถุดิบ และกระบวนการผลิต ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้บริโภคมั่นใจในตัวสินค้ากิฟฟารีนเพิ่มมาก ขึ้น และในภาพยนตร์เรื่องที่ 3 จะออกอากาศในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะเป็นการตอบโจทย์ของกิฟฟารีนเองที่ต้องการสร้างความเข้าใจที่แท้จริงของผู้บริโภคคนไทย และเป็นการเชิญชวนให้ผู้สนใจในธุรกิจเครือข่ายเข้ามาทำงานร่วมกับบริษัท ขณะที่ภาพยนตร์ที่เหลืออีกประมาณ 4 เรื่อง จะได้มีการทยอยออกอากาศอย่างต่อเนื่อง
ที่มา: หนังสือพิมพ์์”สยามธุรกิจ"http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413338999
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กิฟฟารีน! ปลุกใจสมาชิกสู้วิกฤติ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ

“กิฟฟารีน” จัดงานฉลองครบรอบ 13 ปีอย่างยิ่งใหญ่ นักธุรกิจอิสระผู้ประสบความสำเร็จ 500 ชีวิต ตบเท้าก้าวสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้าน “Becoming Giffarine Millionaires” ดึง 2 สุดยอดนักบริหารเมืองไทย “ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์” เจ้าพ่อค้าปลีก “เซเว่น-อีเลฟเว่น” และ “วิกรม กรมดิษฐ์” จาก “อมตะนคร” ร่วมวงเสวนา “แนวคิดเจ้าของธุรกิจในยุควิกฤติเศรษฐกิจ” ปลุกใจสมาชิกเครือข่ายสู้วิกฤติ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ ท่ามกลางสมาชิก “กิฟฟารีน” จากทั่วประเทศ จัดกระบวนรถบัส เดินทางแห่เข้ามาร่วมงานแน่นขนัดห้องประชุมกว่า 15,000 คน

บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้นำในธุรกิจเครือข่ายด้านผลิตภัณฑ์ และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เพื่อสุขภาพและความงาม นำโดย พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ จัดงานฉลองครบรอบ 13 ปี พร้อมประดับเข็มเกียรติยศนักธุรกิจอิสระ ภายใต้แนวคิด “Becoming Giffarine Millionaires” หรือการ “ก้าวสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้าน” พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกกว่า 10 รายการ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

พญ.นลินี เปิดเผยถึงการจัดงานฉลองครบรอบ 13 ปีว่า นอกจากจะเป็นงานฉลองครบรอบ 13 ปีของกิฟฟารีนแล้ว ยังถือเป็นการจัดงาน เพื่อประกาศเกียรติคุณนักธุรกิจอิสระ รวม 500 คน ที่สามารถทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ และก้าวสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้านได้อย่างน่าภาคภูมิใจ และที่สำคัญของการจัดงาน คือ การสร้างให้บรรดาสมาชิกของกิฟฟารีน ได้มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจเครือข่ายขายตรง ที่สามารถเร่งสร้างรายได้ เพื่อเป็นหนึ่งในทำเนียบเศรษฐีเงินล้านของกิฟฟารีน ซึ่งที่ผ่านมามีนักธุรกิจที่เข้าสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้านกิฟฟารีนไปแล้วกว่า 1,000 คน

นอกจากนี้ ยังถือเป็นการจัดงานเพื่อเป็นการปลุกขวัญและให้กำลังใจกับสมาชิกเครือข่ายของกิฟฟารีนด้วย โดยการเชิญ 2 ผู้บริหารระดับสูง ระดับซีอีโอ ที่มีชื่อเสียง ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย เข้ามาร่วมวงเสวนา ภายใต้หัวข้อ “แนวคิดของเจ้าของธุรกิจในยุควิกฤติเศรษฐกิจ” เพื่อแบ่งปันความรู้ และบอกเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ และปลุกขวัญสมาชิกให้มีกำลังใจในการทำธุรกิจ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจด้วย คือ นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.ออล์ จำกัด (มหาชน) และนายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานบริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัทในเครือ โดยมีนายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวชื่อดังจากเนชั่นและช่อง 7 รับหน้าที่พิธีกร

“13 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่า กิฟฟารีน เติบโตอย่างมั่นคง ด้วยผลประกอบการที่ดีเกินคาด มียอดขายโดยรวมแล้วเกินกว่า 30,000 ล้านบาท พร้อมทั้งแจกจ่ายเป็นรายได้ให้กับนักธุรกิจอิสระของกิฟฟารีนไปแล้วเกินกว่า 12,000 ล้านบาท และมีนักธุรกิจอิสระที่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นผู้มีรายได้เกินกว่าหลักล้านขึ้นไปแล้วกว่า 1,000 คน

หากจะถามว่า จากผลประกอบการที่ผ่านมา มีความรู้สึกอย่างไร ตอบได้เลยว่า รู้สึกภาคภูมิใจมาก แต่ความภาคภูมิใจสูงสุด ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข หรือผลประกอบการ ไม่ได้อยู่ที่การสร้างสมาชิกให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน หรือสร้างคนให้มีรายได้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การสร้างคนไทยให้เป็นคนดีต่างหาก เพราะฉะนั้นนักธุรกิจอิสระ ต้องมีหัวใจ และมีน้ำใจในการทำธุรกิจ จะต้องดูแลเอาใจใส่คนที่ชักชวนเข้ามาทำธุรกิจ จะต้องเป็นคนดี เพื่อสร้างคนดีให้เป็นเศรษฐีด้วยกัน

เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ถามว่า เรามองเห็นอะไร เชื่อว่า มองเห็นเหมือนกัน คือ ทุกคนต้องดิ้นรน ต้องพยายามสร้างสิ่งดีๆ ให้กับตนเอง ไม่มีใครยืนอยู่กับที่ เพราะหากยังคงปักหลักยืนนิ่งๆ ชีวิตก็จะไม่ดีขึ้น แต่กับคนที่มองตรงกันข้าม เขาไม่ได้อยู่นิ่ง เขากำลังมองหาอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นโอกาส นี่คือ สิ่งที่เป็นโอกาสสำหรับทุกคน โอกาสที่ดี คือ การเป็นนักธุรกิจเครือข่ายขายตรง”

พญ.นลินี ยังกล่าวถึงการดำเนินธุรกิจกิฟฟารีน เพื่อการรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจว่า กิฟฟารีน ได้เตรียมความพร้อมไว้ทุกด้านแล้ว ทั้งทางด้านกลยุทธ์ทางการตลาด และการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกแบบ 30 องศา ทั้งในกลุ่มของนักธุรกิจเครือข่ายกิฟฟารีน และในกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะการให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ในการทำแคมเปญโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาด้านการขยายงานบริการ ด้วยการเปิดศูนย์ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ทันสมัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น

สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่นั้น พญ.นลินี กล่าวว่า มีมากกว่า 10 รายการ ที่นำมาเปิดตัวภายในงานฉลองครบรอบ 13 ปี โดยส่วนมากแล้ว จะเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม อาทิ ผลิตภัณฑ์สปา ชุดจินเจอร์ สไปซี่ (Giffarine Ginger Spicy Spa Collection) ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากขิง ให้ความสดชื่นจากธรรมชาติ พร้อมกลิ่นหอม ช่วยคืนความสดชื่นให้ร่างกาย

ผลิตภัณฑ์ Giffarine Collagen Powder เป็นผลิตภัณฑ์สารสกัดคอลลาเจนเข้มข้นชนิดผง เนื้อเบาบางละเอียด สกัดด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง จนเป็นผงเนียนนุ่มละเอียด พร้อมละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อผสมเข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ ซึมซาบเข้าบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยดูแลผิวให้เปล่งปลั่งแลดูอ่อนวัย

ผลิตภัณฑ์ Giffarine Glamorous Perfect Coverage Foundation เป็นนวัตกรรมล่าสุดของครีมรองพื้น ช่วยอำพรางจุดบกพร่องบนใบหน้า สู่ผิวหน้าเนียนสวยเป็นธรรมชาติ และยังคงความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างยาวนานตลอดวัน

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ Giffarine ORYZA-E กิฟฟารีน โอรีซ่า-อี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าว ผสมน้ำมันจมูกข้าวสาลี และวิตามินอี ชนิดแคปซูล

ผลิตภัณฑ์ Giffarine Slimm-Fit เป็นผลิต ภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดจากผลสัมแขก

ผลิตภัณฑ์ Giffarine ACTIV MALT กิฟฟารีน แอคทีฟ มอลต์ เครื่องดื่มรสช็อกโกแลตมอลต์ปรุงสำเร็จรูป

และ Giffarine Royal Crown Black เป็นกาแฟสำเร็จรูปผสมชนิดเกล็ด

ที่มา: หนังสือพิมพ์ “ตลาดวิเคราะห์” ฉบับที่ 245 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2552
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สถิติเผยยอดว่างงานเดือนมี.ค.52 พุ่งเป็น 7.11 แสนคน อัตราว่างงาน 1.9%
นางธนนุช ตรีทิพยบุตร เลขาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติ(สสช.) เปิดเผยว่า สสช.ได้สำรวจภาวะว่างงานประชากรเดือนมี.ค.52 พบว่า มีจำนวน 711,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 182,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.9%
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ว่างงานมากที่สุด 301,000 คน รองลงมา เป็นภาคกลาง 148,000 คน ภาคเหนือ 116,000 คน ภาคใต้ 88,000 คน และกรุงเทพฯ 56,000 คน เมื่อเทียบกับปีก่อนพบว่ามีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นในทุกภาค โดยเฉพาะที่ภาคกลางเพิ่มขึ้น 52,000 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 51,000 คน ภาคเหนือ 37,000 คน ภาคใต้ 25,000 คน ส่วนกรุงเทพฯ มีผู้ว่างงานลดลง 10,000 คน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรม 480,000 คน และเป็นผู้ว่างงานจากภาคการผลิตมากที่สุดถึง 230,000 คน เพิ่มขึ้น 90,000 คน ภาคบริการและภาคการค้า 170,000 คน เพิ่มขึ้น 60,000 คน และภาคเกษตรกรรม 80,000 คน ลดลง 50,000 คน ส่วนภาวะการทำงานของประชากรพบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยผู้มีงานทำในเดือน มี.ค.52 มีจำนวน 36.57 ล้านคน เพิ่มขึ้น 780,000 คน ผู้ทำงานในภาคเกษตรกรรม เพิ่มขึ้น 200,000 คน จาก 12.31 ล้านคน เป็น 12.51 ล้านคน และผู้ทำงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 580,000 คน จาก 23.48 ล้านคน เป็น 24.06 ล้านคน โดยเพิ่มขึ้นในสาขาขนส่งมากที่สุด 390,000 คน รองลงมาคือสาขาก่อสร้าง 390,000 คน สาขาบริหารราชการแผ่นดิน 100,000 คน การค้าอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจให้เช่าและธุรกิจอื่นๆ 50,000 คน เป็นต้น ขณะที่สาขาการผลิตมีคนทำงานลดลง 200,000 คน สำหรับผู้ที่ทำงานในสาขาการผลิตลดลงในสาขาสำคัญๆ เช่น การผลิตสิ่งทอลดลง 1.1 แสนคน, การผลิตผลิตภัณฑ์จากแร่อโลหะ 58,000 คน, การพิมพ์โฆษณา 53,000 คน, การผลิตผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก 51,000 คน และการผลิตเฟอร์นิเจอร์ 47,000 คน เป็นต้น http://www.ryt9.com/s/iq01/576829/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเป้าการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ คาดติดลบ

ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเป้าการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ คาดติดลบ 1.5-3.5% เศรษฐกิจโลกฟุบนานเกินคาด ผสมปัญหาความวุ่นวายการเมือง มองหากมีการชุมนุมยืดเยื้อปะทุขึ้นอีก จีดีพีมีโอกาสหดตัวมากกว่า 3.5% ด้าน สศช.ประเมินไตรมาสแรกปีนี้อาการหนักสุด
ดร.ดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปี 2552 ใหม่ คาดว่าจะหดตัวอยู่ในช่วงติดลบ 1.5-3.5% หลังจากมีการทบทวนสมมติฐานใหม่เทียบกับข้อสมมติฐานใน 3 เดือนก่อน โดยเห็นว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในปี 2552 และปี 2553 ปรับลดลงมาก และคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการเติบโตชะลอตัวลงจากเดิม ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาใช้ประกอบในการประมาณอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยใหม่ในครั้งนี้
"เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอยนานกว่าที่ประเมินไว้ และฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้ ขณะที่ความไม่สงบทางการเมืองที่ยืดเยื้อ อาจทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยว อีกทั้งความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจจะไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้" ดร.ดวงมณีกล่าวและว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยจะติดลบสูงสุดในไตรมาสแรกปีนี้ จากนั้นจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2-3 และฟื้นตัวเป็นบวกได้ในไตรมาส 4
อย่างไรก็ตาม หากมีการชุมนุมเกิดขึ้นอีกและยืดเยื้อก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจของไทยหดตัวมากกว่า 3.5% ได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้ามองการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยทั้งปี 2552 มีโอกาสที่จะหดตัวถึง 5% น้อยมาก เพราะผลกระทบจากการชุมนุมในช่วงเดือนเมษายน 2552 นั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบมากนักเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนตลอดทั้งปี เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงฤดูท่องเที่ยว ต่างกันกับการปิดสนามบินสุวรรณภูมิในไตรมาส 4 ปี 2551
ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ในการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2552 ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ สศช.คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบมากกว่า 4-5% โดยแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจทั้งปี 2552 จะติดลบมากกว่า 2% ขึ้นไป และต้องมีการปรับประมาณการตัวเลขใหม่ ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเศรษฐกิจจะติดลบรุนแรงถึงระดับ 4-5% หรือไม่
ส่วนผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่การก่อจลาจลในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ดร.อำพน ระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยเป็นผลกระทบในระยะยาวมากกว่า คือจะทำให้การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะฟื้นตัวไตรมาส 4 จะต้องเลื่อนออกไปอีก และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเร่งทำความเข้าใจกับต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความเชื่อถือของประเทศให้กลับคืนมาอีกครั้ง
http://www.komchadluek.net
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

กูเกิ้ล (Google) ได้เพิ่มคุณสมบัติการทำงานในรูปแบบเครือข่ายสังคม (Social Networking)

เข้าไปในบริการ iGoogle โฮมเพจปรับแต่งได้ของทางบริษัท โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มซอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า "Gadgets" ที่ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเพื่อนฝูง และคนรู้จักในเครือข่ายฯ เพื่อเข้ามาเล่นเกมส์ หรือติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ บนออนไลน์ได้
แก็ดเจ็ตใหม่ที่เน้นการใช้บริการเครือข่ายสังคม 19 โปรแกรมด้วยกัน ในที่นี้รวมถึงเกมส์สนุกๆ อย่าง หมากรุก และการอัพเดตความเคลื่อนไหวชีวิตบนออนไลน์ได้อีกด้วย "แก็ดเจ็ตโซเชียล (Social gadgets) จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้แบ่งปัน และทำอะไรร่วมกัน ตลอดจนเล่นเกมส์์กับเพือนๆ โดยทุกอย่างจะอยู่บนโฮมเพจ (iGoogle) ของผู้ใช้" เพื่อนๆ ของคุณสามารถเห็นในสิ่งที่คุณแชร์ หรือทำในโซเชียลแก็ดเจ็ตด้วยการใช้แก็ดเจ็ตตัวเดียวกันบนโฮมเพจของพวกเขา หรือผ่านทางระบบฟีดข้อมูลใหม่ที่เรียกว่า Updates" ความหมายคือ ผู้ใช้ iGoogle จะสามารถสร้างกลุ่มเพื่อน (Friends group) เพื่อกำหนดได้ว่า ต้องการแชร์ข้อมูลดิจิตอลให้ใครบ้าง
สำหรับแก็ดเจ็ตโซเชียลบน iGoogle ได้มีการเปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้วในออสเตรเลีย และกำลังเปิดให้บริการในสหรัฐฯ "โฮมเพจ Google จะทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนกับข้อมูลข่าวสาร และเรามีความตื่นเต้นที่ iGoogle จะได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกเข้าด้วยกัน" ผู้บริหารกูเกิ้ลกล่าว "เราหวังว่า แก็ดเจ็ตโซเชียลเหล่านี้จะทำให้ iGoogle มีความสนุกมากขึ้น และเป็นโฮมเพจส่วนตัวสำหรับคุณอย่างแท้จริง"
ปัจจุบันมีแก็ดเจ็ต หรือโปรแกรมขนาดเล็กมากกว่า 60,000 ตัวที่สามารถเรียกใช้ปรับแต่งหน้าโฮมเพจ iGoogle ได้ทันที ซึ่งตอบสนองการใช้งานในลักษณะต่างๆ ตั้งแต่ การปรับแต่งแปลงโฉม ไปจนถึงเกมส์สนุกๆ หรือแม้แต่โปรแกรมใช้งานต่างๆ และเหนืออื่นใด เป้าหมายของการทำแก็ดเจ็ตโซเชียลยังทำให้ Google กลายเป็นคู่แข่งที่จะเข้าช่วงชิงเวลาออนไลน์ของผูั้ใช้ที่อยู่ในบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กดังๆ อย่าง Facebook, MySpace หรือแม้แต่ Twitter อีกด้วยhttp://www.arip.co.th/news.php?id=409707
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

เผย10อันดับขายตรงแห่งปี

ส่วนบริษัทขายตรง MLM ที่มียอดขายสูงสุด 10 อันดับ ...หนังสือพิมพ์รายปักษ์ “ตลาดวิเคราะห์”ได้เก็บรวบรวมตัวเลขจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยนำเอาผลประกอบการในปี 2549 เปรียบกับปี 2550 และยังมีการประมาณการผลประกอบการในปี 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งประเมินจากการสอบถามแต่ละบริษัทขายตรง โดยยอดขายปี 2551 ที่ได้มา แต่ละบริษัทขายตรงยังไม่ได้รายงานตัวเลขอย่างเป็นทางการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแต่อย่างใด สำหรับ 10 อันดับ บริษัท ขายตรง MLM ที่มียอดขายสูงสุด
1)บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 9,102,679,124 บาท ส่วนปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 9,533,950,045 บาท และปี 2551 ตัวเลขยอดขายประมาณการอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท,
2) บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 3,212,560,314.14 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3,693,951,285.59 บาท และในปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท
3) บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด โดยยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 1,954,392,397.80 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2,048,501,360.43 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 2,900 ล้านบาท,
4) บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 1,233,169,040.80 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,809,895,879.93 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท,
5) บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 1,006,882,334 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,045,803,964 บาท และปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท
6) บริษัท สุพรีเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 779,322,512.77 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 749,477,028.28 บาท และปี 2551 ประมาณการยอดขายอยู่ที่ 900 ล้านบาท
7) บริษัท เอวอน คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 932,429,457 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 685,953,978 บาท ส่วนปี 2551 ยังไม่สามารถประมาณการยอดขายได้
8) บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ปี 2549 ยอดขายอยู่ที่ 408,176,682 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 551,730,024 บาท ส่วนปี 2551 มีการประมาณการยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยตัวเลขอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท เรียกว่า เติบโตขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี 2550 ซึ่งเมื่อรายงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว จะต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเป็นตัวเลขที่แท้จริง ตามที่บริษัทได้ประมาณการไว้หรือไม่
9) บริษัท นูไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 310,336,914 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 335,130,288 บาท และปี 2551 ประมาณการยอดขายลดลงอยู่ที่ 300 ล้านบาท
10) บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 282,271,967.76 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 253,686,955.03 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการยอดขายอยู่ที่ 291 ล้านบาท
ด้านบริษัทขายตรงชั้นเดียว SLM ที่มีผลประกอบการดี 4 อันดับ ประกอบด้วย บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (มิสทิน) ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 4,293,975,041 บาท ส่วนปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4,875,953,038 บาท
ถัดมาเป็นของบริษัท ลุกซ์ รอยัล (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 606,328,743 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 633,890,367 บาท,
บริษัท เอสเอส ยูพี กรุงเทพ 1991 จำกัด (คิวท์เพรส) ปี 2549 ยอดขายอยู่ที่ 490,626,147.33 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 590,040,566.60 บาท
และบริษัท ยูสตาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 187,460,067.72 บาท ส่วนปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 170,616,491.52 บาท
ส่วนบริษัทขายตรงตามแผนธุรกิจแบบไบนารี่ (ไตรนารี่) นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถจัดอันดับได้
ที่มา ตลาดวิเคราะห์ เรียบเรียงโดย 12RCD
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

โฆษณาเด็ดส่งยอดกิฟฟารีนพุ่ง 16% เผยแห่สมัครสมาชิกเพิ่ม4หมื่นรหัส

กิฟฟารีน โวลั่นอวดยอดขาย 8 เดือนพุ่งกระฉูดเกินเป้าที่วางไว้ รับผลพวงจากโฆษณาชุดใหม่บีลีฟ ในประโยคติดหู "ทำไมต้องกิฟฟารีน" ช่วยดันยอดคนแห่สมัครเป็นสมาชิกใหม่ถึงเดือนละ 40,000 รหัส ลุ้นการเมืองชัดเจนดันยอดซื้อต่อบิลโค้งสุดท้ายเพิ่ม 15% นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงกิฟฟารีน และในฐานะนายกสมาคมขายตรงแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการทำตลาดในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม พบว่าบริษัทฯมียอดขายเติบโต 16% สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากเดิมตั้งเป้าหมายว่าอัตราการเติบโตจะมีเพียง 12% เท่านั้น เนื่องจากการปรับแผนตลาดต่างๆตามสภาพภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าราคาเหมาะสมมากขึ้น ทั้งนี้การที่บริษัทฯ มียอดขายสูงกว่าเป้าหมาย โดยมีผู้สมัครเป็นสมาชิกขายตรงของบริษัทฯเพิ่มขึ้นถึงเดือนละ 40,000 รหัส จากปกติที่มีสมาชิกใหม่เดือนละ 30,000-35,000 รหัส ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งคือ การเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ภายใต้ชื่อ บีลีฟ มี ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีมาก โฆษณาทำให้กลุ่มลูกค้าจดจำและเข้าใจถึงการสื่อสารระหว่างคนกับแบรนด์ได้ดีเกินเป้าหมายที่วางไว้ ในประโยคเด็ดที่ว่า "ทำไมถึงต้องกิฟฟารีน" ที่ไม่ได้นำเสนอการขายของเพียงอย่างเดียว แต่เน้นเสนอเรื่องราวที่ให้ผู้บริโภคเข้าใจธุรกิจขายตรงมากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจและกล้าลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง นางนลินีกล่าวว่า การที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคสมัครเป็นสมาชิกขายตรงมากกว่าเดิม เพราะเป็นทางเลือกในการหารายได้เสริมได้เป็นอย่างดี ซึ่งธุรกิจขายตรงนับว่าเป็นทางออกของคนในสังคมปัจจุบันมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวเป็นการเสริมรายได้อีกทางให้กับชีวิตโดยที่ได้รับผลตอบแทนค่อนข้างดี สำหรับประเด็นของราคาสินค้าที่จำหน่ายในปัจจุบันนั้น แม้ทุกบริษัทจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าคงจะปรับราคาขึ้นให้น้อยที่สุด เพราะเข้าใจสถานการณ์กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ยกเว้นสินค้าบางรายการที่ต้นทุนสูงต่อเนื่อง จึงต้องปรับราคาเพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้ และได้อธิบายให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงความจำเป็นดังกล่าวด้วย ขณะเดียวกันบริษัทฯคาดว่าภาพรวมธุรกิจขายตรงในไตรมาสที่ 4 จะต้องเติบโตดีขึ้น หรือคิดเป็น 10% จากมูลค่า 40,000 ล้านบาท มียอดซื้อต่อคนต่อครั้งเพิ่มขึ้นอีก 15% ส่วนยอดขายรวมของบริษัทฯในสิ้นปีนี้คาดเป็นไปตามเป้าหมายคือ 3,800 ล้านบาท เติบโต 10-12% ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อเทียบกับทุกไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งยอดซื้อต่อครั้งลดลง สาเหตุอันเนื่องมาจากไตรมาสทีสี่ผลพวงจากสถานการณ์การเมืองเริ่มมีความชัดเจนทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการจับจ่าย ขณะที่เงินสะพัดในช่วงเลือกตั้ง คาดว่าไม่มีผลต่อการซื้อสินค้ามากนัก เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่จะมาจากรายได้ที่สม่ำเสมอ
ที่มา:http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=62953
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/