กิฟฟารีน giffarine www.no-poor.com
ธุรกิจเสริม กิฟฟารีน
กิฟฟารีน ธุรกิจเสริม อาชีพเสริม รายได้เสริมออนไลน์ ปรึกษาเรา ตรวจสอบดวงชะตา ศึกษาพลังธาตุในตัวคุณ วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน ภาวะผู้นำและลักษณะงานที่เหมาะกับคุณ ก่อนเริ่มธุรกิจ-คุยกับเราที่ no-poor.com

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นายจ้าง-ลูกจ้างเตรียมรับมือไข้หวัด 2009 ระบาดรอบสอง

นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมและนิทรรศการการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการโดยมีนายจ้างและลูกจ้างจากสถานประกอบการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คนว่าการประชุมวันนี้เป็นการประชุมเพื่อเน้นให้นายจ้างและลูกจ้างได้ตระหนักถึงการดูแลป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะกลับมาแพร่ระบาดในรอบที่สอง อาทิ นายจ้างควรจัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของลูกจ้างก่อนเข้าทำงาน พร้อมทั้งจัดจุดบริการเจลอนามัย สำหรับล้างมือให้กับลูกจ้าง
ขณะที่ลูกจ้าง ควรป้องกันตนเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยขณะทำงานหรืออยู่ในที่คนแออัด รวมถึงออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค หากผู้ประกันตนที่แพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคดังกล่าว สามารถใช้สิทธิเข้ารับการรักษา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานยอดผู้ประกันตนที่ติดเชื้อดังกล่าว เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อเป็นผู้สูงอายุ และเด็กเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย
แหล่งที่มา: http://blog.beenverified.com/what-to-look-for-in-2009or-what-companies-will-survive-the-coming-economic-storm/2008/10/20/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

หุ้นไทยผันผวน เหตุกังวลการเมือง

บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันที่ 26 ส.ค. ดัชนีแกว่งตัวผันผวน แต่สามารถปิดบวกได้ โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 661.04 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 654.89 จุด จนมาปิดตลาดที่ 658.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.82 จุด หรือร้อยละ 0.43 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24,007.44 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็ม เอ ไอ ปิดที่ 180.30 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 270.60 ล้านบาท
ด้านสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิที่ 30.07 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 329.77 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 359.84 ล้านบาท โดยนายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผอ.อาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนบางช่วงบวกได้ แต่บางช่วงติดลบเล็กน้อย โดยมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลางและเล็กที่ได้รับประโยชน์จากการลดลงของราคาน้ำมันดิบ เช่น ขนส่ง และโรงกลั่น แต่ช่วงบ่ายมีแรงเทขายหุ้นพลังงานและธนาคารออกมา เพราะนักลงทุนกลับมากังวลการเมืองในประเทศอีกครั้ง หลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคัดค้านการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ (27 ส.ค.) มองว่า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวนและอาจเผชิญแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นออกมา หากไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ 660 จุด เพราะนักลงทุนยังกังวลเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยต้องติดตามราคาน้ำมันดิบ และการปรับตัวของตลาดต่างประเทศ ประเมินแนวรับที่ 650-653 จุด และแนวต้าน 662-665 จุด ด้านกลยุทธ์แนะนำเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็ก.-สำนักข่าวไทย
ที่มา: http://news.mcot.net/economic/inside.php?value=bmlkPTExMTc4MiZudHlwZT10ZXh0
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

40% ของข้อความ Tweet เป็นเรื่องไร้สาระ

บริษัทวิจัย Pear Analytics ในสหรัฐได้ลองเก็บตัวอย่างข้อความใน Twitter แบบสุ่มจำนวน 2,000 ข้อความ แล้วนำมาแยกแยะเป็น 6 หมวด ได้แก่ ข่าว, สแปม, โปรโมทตัวเอง, บ่นไปเรื่อย (ต้นฉบับใช้คำว่า pointless babble), บทสนทนา และอย่างสุดท้ายคือ "tweet ที่มีคุณค่า"
ผลคือหมวด "บ่นไปเรื่อย" (เช่นข้อความว่า "I'm eating a sandwich") มีสัดส่วนสูงถึง 40% (แต่จะว่าไป Twitter ออกแบบมาเพื่อแบบนี้อยู่แล้ว?) ตามมาด้วยบทสนทนาระหว่างผู้ใช้ Twitter กันเอง 37.5% ส่วนข้อความที่มีคุณค่า กลายมาเป็นข่าวได้ อยู่ที่ 8.7%
สแปมคิดเป็น 5.85% และโปรโมทตัวเอง 3.75% แต่สัดส่วนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเริ่มมีบริษัทห้างร้านต่างๆ หันมาใช้ Twitter เป็นเครื่องมือทางการตลาดมากขึ้น
ที่มา : http://kalanyuz.com/aggregator/sources/1?page=3
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ศาลสั่งให้ Microsoft หยุดขายโปรแกรม Microsoft Word 2003 และ 2007

รายงานข่าวล่าสุดจากเว็บไซต์บีบีซีระบุว่า ศาลชั้นต้นในสหรัฐฯ ได้สั่งให้บริษัทไมโครซอฟท์จ่ายค่าเสียหายเป็นเงินมากกว่า 290 ล้านเหรียญฯ (ประมาณหนึงหมื่นล้านบาท) ในข้อหาตั้งใจละเมิดสิทธิบัตรของ I4i บริษัทซอฟต์แวร์ในแคนาดา
สำหรับสิทธิบัตรที่ถูกละเมิดจะว่าด้วยเรื่องของการประยุกต์ใช้ XML ภาษาโปรแกรมที่ใช้ในการจัดรูปแบบของข้อความ และทำให้ไฟล์ข้อมูลที่ใช้ฟอร์แมตนี้สามารถถูกอ่านขึ้นมาด้วยโปรแกรมต่างๆ ได้ ซึ่งการใช้ XML ในลักษณะดังกล่าวจะพบได้ในซอฟต์แวร์ Microsoft Word โดย Leonard Davis ศาลชั้นต้นในเท็กซัสยังได้ออกคำสั่งห้าม ไม่ให้ไมโครซอฟท์จำหน่ายซอฟต์แวร์ Word อีกด้วย (ซึ่งรวมถึงที่ไปกับชุดโปรแกรม Office)
ในส่วนของ I4i ได้จดสิทธิบัตรว่าด้วยการจัดการโครงสร้าง และเนื้อหาของเอกสารแยกจากกัน โดยมี XML เป็นเครื่องมือให้ผูั้ใช้ใช้ในการจัดรูปแบบของเอกสารข้อความ นอกจากนี้ XML ยังถูกใช้ในโปรแกรมเวิร์ดตัวอืนๆ ด้วยอย่างเช่น OpenOffice ด้วย
นอกจากจะโดนค่าปรับถึง 290 ล้านเหรียญฯแล้ว ศาลยังมีคำสั่งห้ามขาย และ/หรือ นำเข้าในสหรัฐฯ สำหรับซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใดๆ ที่สามารถเปิดไฟล์ XML ที่ได้รับการปรับแต่งอีกด้วย (ไฟล์ที่มีนามสกุล .xml, .docx หรือ .docm) ทั้งนี้ไมโครซอฟท์มีเวลา 60 วันในการปฎิบัติตามคำสั่งศาล อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะยื่นอุทธรณ์อย่างแน่นอน "เรารู้สึกผิดหวังกับคำพิพากษาของศาล" Kevin Kutz โฆษกประจำบริษัทไมโครซอฟท์กล่าว "แต่เราก็เชื่อว่า เรามีหลักฐานที่ชัดเจนในการแสดงให้ศาลเห็นว่า เราไม่ได้ละเมิด และสิทธิบัตรของ I4i ใช้ไม่ได้ เราจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาล"

(สิทธิบัตรของ i4i นั้นเป็นสิทธิบัตรแบบครอบจักรวาลอันหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไมโครซอฟท์เคยต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับ i4i ไปแล้ว 200 ล้านดอลลาร์)
ที่มา : http://hitech.sanook.com/technology/news_13129.php
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ิกิฟฟารีนเท 100ล. ลุยโฆษณาปลุกยอด

หลังคว้า 2 รางวัลกิฟฟารีน ปลื้มยอดขาย 4 เดือนแรกทะลุเป้า แม้ภาพรวมตลาดจะเติบโตไม่หวือหวา พร้อมทุ่มงบ 100 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาลุยตลาดไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่อง ขณะที่ล่าสุดคว้า 2 รางวัลทั้งซูเปอร์แบรนด์ และอย. ควอลิตี้ อะวอร์ด 2009
พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในช่วง 4 เดือนแรกยังมีการเติบโต แต่เป็นการเติบโตใกล้เคียงกับการเติบโตของธุรกิจทั่วไป ซึ่งหากว่าไม่มีปัจจัยลบ โดยเฉพาะปัญหาการเมือง คาดว่าการเติบโตของตลาดจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ในส่วนของบริษัทนั้นยังมีการเติบโตประมาณ 10-10% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเป็นผลมาจาการที่บริษัทรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย และการเพิ่มจำนวนสมาชิก ที่ในแต่ละเดือนจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น 3-4 หมื่นคนต่อเดือน
ทั้งนี้นอกเหนือจากแผนการรุกตลาดด้วยการขยายธุรกิจด้วยการเปิดรับศูนย์ไลน์เซนซี่แล้ว ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของกิฟฟารีน เพื่อตอกย้ำแบรนด์ลอยัลตี้ให้อยู่ในใจผู้บริโภค คาดว่าจะใช้งบประมาณเท่ากับปีก่อน คือ 80-100 ล้านบาท นอกจากนี้สิ่งที่ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ ล่าสุดบริษัท ได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัล "Superbrands 2008-2009 ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำจุดแข็งในเรื่องของความสำเร็จในด้านการสร้างแบรนด์ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ ที่บริษัทได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 13 ปีของการดำเนินงาน เพื่อให้แบรนด์และผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่สามารถสร้างชื่อเสียง และความภูมิใจให้กับประเทศไทยในตลาดต่างประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับคัดเลือกให้เข้ารับรางวัล "อย. QUALITY AWARDS 2009" (อย. ควอลิตี้ อะวอร์ด 2009) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อย.ได้มอบรางวัลให้เป็นกำลังใจแก่ผู้ประกอบการที่มีคุณธรรมและจริยธรรมในการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ในปีนี้ รวมทั้งสิ้น 22 รางวัล โดยได้คัดเลือกจากผู้ประกอบการกว่า 10,000 ราย และได้จัดพิธีมอบรางวัลดังกล่าวไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การผลิตผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์กิฟฟารีนนั้น บริษัททุ่มเทด้านการผลิตสูงสุด ด้วยการก่อตั้งโรงงานขนาดใหญ่บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ใช้งบประมาณกว่า 700 ล้านบาท พร้อมทีมแพทย์และเภสัชกรในห้องปฏิบัติการ Central Lab ที่วิจัยและพัฒนาด้านการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามที่มีคุณภาพสูง และเหมาะสมกับคนไทยอย่างแท้จริง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2429 24 พ.ค. - 27 พ.ค. 2552
ที่มา: http://www.thannews.th.com/detialnews.php?id=M2124293&issue=2429
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เศรษฐกิจ ปี 2552 คุณคิดว่าธุรกิจอะไรจะอยู่รอด?


วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis)” ที่เกิดขึ้นมาจากสถาบันทางการเงินระดับยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาต้องล้มครืน ส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หลายองค์กรใหญ่ๆ ในภาคการผลิต (Manufacturing) ได้รับผลกระทบโดยตรง เหล่าบริษัทขนาดใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น บริษัทอุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิก บริษัทอุตสาหกรรมการบิน บริษัทอุตสาหรรมขนส่ง สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ระดับโลก และอีกหลายธุรกิจ ที่ประกาศปลดพนักงานเป็นรายวัน อย่างที่เป็นข่าวครึกโครมอยู่ในทุกวันนี้ มันทำให้เรารู้สึกใจหายกันมากทีเดียว
ในเมืองไทย ธุรกิจ SME หลายแห่ง แห่ปิดตัวตามๆกันเลย ส่วนบางธุรกิจที่ดีหน่อยยังพอประคองตัวรอดได้ แต่ก็ save cost
พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสกันอย่างไรดี?ชาวบล็อกคนหนึ่งที่ชื่อ “Josh” เค้าได้สรุปถึง การทำธุรกิจออนไลน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตไว้ว่า... ธุรกิจนี้น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับองค์กรและบุคคลที่กำลังมองหาธุรกิจ “Blue Ocean” (หมายถึง ธุรกิจในมหาสมุทรสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจตลาดที่คู่แข่งยังมีไม่มาก) โดยเค้ามองว่าธุรกิจที่น่าจะประสบความสำเร็จในปี 2009 คือ
1.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการสร้างรายได้ (Help people / businesses make money.)
2.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการประหยัดเงิน (Help people / businesses save money.)
3.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการเข้าถึงแหล่งเงินหรือแหล่งทุน (Help people / businesses access money.)
จากการวิเคราะห์ตามแนวทางนี้แล้ว มันก็เป็นธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจสร้างรายได้เพราะ ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอลจริงๆ โลกเราทุกวันนี้เป็นโลกแห่งอินเทอร์เน็ต ใครอยากรู้อยากหา อยากอ่าน หรือแม้กระทั่ง อยากซื้อสินค้าอะไรก็ค้นหาได้ทางอินเทอร์เน็ต ธุรกิจนี้จึงเป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ และเป็นทางเลือกให้แก่คนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างรายได้อย่างไร้ขีดจำกัดในยามเศรษฐกิจถดถอยแบบนี้
ซึ่ง Josh ยังคาดการณ์ด้วยว่าเศรษฐกิจแบบนี้ จะมีคนอยู่กับบ้านแล้วเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทั้งหางานทำ หาเพื่อน ดูหนัง เล่นเกม ขายของเก่า ฯลฯ เขาจึงคิดว่าถ้ามีผู้ทำธุรกิจ ด้านจัดหางาน ขายเกม ขายหนัง ธุรกิจหาเพื่อน (หาแฟน) ธุรกิจให้คำแนะนำเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดไฟหรือน้ำ พวกนี้สร้างรายได้ให้เราได้แน่นอน.
โอกาสดีๆ มีอยู่รอบๆตัวเราเองเสมอๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นมันหรือไม่..และเมื่อมองเห็นแล้วจะคว้ามันไว้ และทำมันให้สำเร็จได้หรือไม่...
แหล่งที่มา: http://blog.beenverified.com/what-to-look-for-in-2009or-what-companies-will-survive-the-coming-economic-storm/2008/10/20/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

อำพน อัดยับสหภาพบินไทย!บริษัทระส่ำมีหน้าขอโบนัส-ปรับขึ้นเงินเดือน!


สหภาพบินไทยไม่สำเหนียกเรียกร้องสวนกระแสบริษัทที่กำลังเผชิญวิกฤติขาดทุน ขนพนักงานกดดันบอร์ดปรับเงินเดือน โบนัส พร้อมบี้บอร์ดทีจีทบทวนแต่งตั้ง 2 ผู้บริหารใหม่ ด้านประธานบอร์ดฟิวส์ขาดอัดยับพฤติกรรมผู้นำสหภาพ บริษัทกำลังจะล้มละลายดันเห็นแก่ได้ ซัดกลับหากยังไม่เจียมตัวก็เตรียมปิดบริษัทได้เลย
ที่มา: http://www.ryt9.com/economy/2009-08-08/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ซีพีกำไรพุ่งปลิ้นสวนกระแสวิกฤติ ไตรมาส2เฉียด4พันล้าน ในรอบ 30 ปี


นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของซีพีเอฟในไตรมาส 2 ของปีนี้ กำไร 3,190 ล้านบาท ส่งผลให้ในรอบ 6 เดือน กำไรทั้งสิ้น 3,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว 176% ซึ่งผลประกอบการในไตรมาส 2 นี้ถือว่าดีที่สุดตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือกว่าในรอบ 30 ปี ทั้งนี้ เป็นผลจากกลยุทธ์ที่ใช้ ประกอบด้วย 1.การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในฟาร์มและการลดต้นทุน 2.การขยายธุรกิจในหลายประเทศเริ่มส่งผลตอบแทนกลับมาชัดเจน เช่น อินเดีย มาเลเซีย
ที่มา: http://www.ryt9.com/s/psum/624551/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

Microsoft จะฟ้อง TomTom ข้อหาละเมิดสิทธิบัตร งานนี้ลินุกซ์มีโดนพาดพิงด้วย

TomTom บริษัททำพวกอุปกรณ์ GPS ในรถจะถูกฟ้องโดยไมโครซอฟท์ในกรณีละเมิดสิทธิบัตร ซึ่งในข้อหาทั้งหมด 8 ข้อนั้น มี 3 ข้อเกี่ยวเนื่องกับการใช้ Linux kernel ในอุปกรณ์ของ TomTom ด้วย!
งานนี้ไมโครซอฟท์แถลงข่าวว่า บริษัทจำเป็นจะต้องฟ้อง TomTom เพราะว่า TomTom ไม่ยอมตกลงเรื่องนี้กับไมโครซอฟท์ ทั้งๆที่ บริษัทผู้ผลิต GPS รายอื่นก็ตกลงหมดแล้ว โดยการฟ้องครั้งนี้ไมโครซอฟท์ไม่ได้มุ่งฟ้องแต่เรื่องที่เกี่ยวกับ Opensource เพราะมีหัวข้ออื่นที่เกี่ยวข้องกับ Proprietary software ด้วย ดังนั้นชุมชนโอเพนซอร์สอย่าได้เข้าใจผิด ไมโครซอฟท์ยังเคารพและชื่นชมแนวทางของโอเพนซอร์สอยู่เสมอ การฟ้องครั้งนี้เป็นไปเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทเท่านั้น
ส่วนคู่กรณี TomTom ยังไม่มีการแถลงข่าวใดๆทั้งสิ้น
http://akedemo.wordpress.com/2009/02/26/microsoft-sues-tomtom-over-patent-suit/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ไมโครซอฟท์ถูกฟ้องเพราะแจกตรา Windows Vista Capable

Dianne Kelley ผู้ซื้อคอมพิวเตอร์ได้ยื่นฟ้องต่อไมโครซอฟท์ในฐานที่พยายามโฆษณาวิสต้าผ่านทางโลโก้ Windows Vista Capable บนโน้ตบุ๊กจำนวนมากในปีที่ผ่านมา แต่เมื่อใช้งานจริง โน้ตบุ๊กเหล่านั้นกลับไม่สามารถทำงานได้ครบถ้วนทุกฟีเจอร์ของวิสต้า เช่น Aero ที่ไม่สามารถใช้งานได้ในเครื่องที่การ์ดจอไม่แรงพอ
ขณะที่ไมโครซอฟท์ระบุสเปคเครื่องและความสามารถที่ทำงานได้ในวิสต้ารุ่นต่างๆ ไว้ชัดเจนแต่บนโลโก้ Vista Capable นั้นกลับไม่มีการระบุว่าการรองรับของเครื่องเหล่านั้นเป็นการรองรับที่ระดับใด คำฟ้องจึงพยายามชี้ประเด็นที่ว่าไมโครซอฟท์ผู้ใช้ที่ซื้อเครื่องเหล่านั้นกลับไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ซึ่งเป็นวิสต้า "ที่แท้จริง" บนเครื่องของเขาได้
http://www.blognone.com/node/4341
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

กิฟฟารีน!รับอานิสงส์หวัดใหญ่ (ยอดขายฟ้าทะลายโจรทะลุ 50%)“

กิฟฟารีน” แจงผลประกอบการครึ่งปีแรก ยอดขายไม่กระเตื้อง หลังเจอมรสุมการเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจับจ่ายผู้บริโภคลดลง แต่ครึ่งปีหลัง ยอดขายเริ่มโต เหตุรับอานิสงส์ไข้หวัดใหญ่ ฉุดยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมสารสกัดจาก “ฟ้าทะลายโจร-กระเทียม” ขายดิบขายดี มั่นใจสิ้นปีรายได้เฉียด 4,200 ล้านพ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ถึงผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ผ่านมาว่า มีอัตราการเติบโตของยอดขายไม่ถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มียอดขายเติบโตอยู่ที่ประมาณ 11-12% อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของ “กิฟฟารีน” ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ก็ถือว่า ยังคงมีอัตราการเติบโตของยอดขายได้ดี โดยอยู่ที่ประมาณ 7% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,400 ล้านบาท ขณะที่ทั้งปีนี้ คาดว่า ยอดขายจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากปีที่ผ่านมา หรือปิดผลประกอบการอยู่ประมาณ 4,200 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดธุรกิจขายตรงนั้น จะยังคงมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 7%สำหรับสาเหตุที่ทำให้ช่วงครึ่งปีแรก อัตราการเติบโตของยอดขายโดยรวมไม่ถึง 10% นั้น เป็นเพราะในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ได้เกิดปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่อเนื่องเช่นกัน ส่งผลให้อารมณ์การจับจ่ายซื้อสินค้าของผู้บริโภคลดน้อยลงตามลำดับ ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคไม่เกิดความมั่นใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ หันมาออมเงินมากขึ้นขณะที่ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จะพบว่า ผู้บริโภคเริ่มหันมาจับจ่ายซื้อสินค้า เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะปัญหาในทางการเมืองนั้น ได้เริ่มสงบลง ส่งผลให้ผู้บริโภคกลับมามีอารมณ์ในการใช้จ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น โดยในช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคม กิฟฟารีนมีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 10%“ยอดขายของกิฟฟารีนในปีนี้ คง มีอัตราการเติบโตไม่มาก คาดว่าจะมียอด ขายเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเล็กน้อย โดยเฉพาะยอดขายที่เพิ่มขึ้นมา หลังได้รับอานิสงส์จากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้แก่ ยอดขายจากผลิต ภัณฑ์เสริมอาหารผสมสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 50% ทุกเดือน”พ.ญ.นลินี ยังกล่าวถึงแผนงานใน ช่วงครึ่งปีหลังว่า ได้เตรียมงบการตลาดไว้ ประมาณ 80-90 ล้านบาท เพื่อใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์แบรนด์กิฟฟารีน ซึ่งถือเป็นงบการตลาดที่มีความใกล้เคียง กับทุกๆ ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทได้เตรียมออกภาพยนตร์โฆษณาจำนวน 7 เรื่อง ในการสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคให้รู้จักแบรนด์กิฟฟารีนมากขึ้น อีกทั้งเพื่อ เป็นการสร้างความเข้าใจในธุรกิจเครือข่าย ให้กับผู้บริโภคที่สนใจให้เข้าใจและตัดสินใจมาทำธุรกิจร่วมกับกิฟฟารีนได้ง่ายขึ้นอีกด้วยโดยในเดือนสิงหาคมนี้ กิฟฟารีนจะออนแอร์ออกอากาศภาพยนตร์โฆษณา ในสื่อทีวีและวิทยุ จำนวน 3 เรื่อง ซึ่งเรื่อง แรกได้ทำการออกอากาศไปแล้ว ในวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเป็นการนำเสนอ ให้เห็นถึงโครงสร้างของเครือข่ายผู้ที่ใช้สินค้า ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเป็นนักธุรกิจกิฟฟารีน ซึ่งภายในเนื้อเรื่อง จะพยายามสื่อให้เห็นว่า การทำงานกิฟฟา รีน จะเริ่มต้นจากตัวผู้ใช้สินค้าเอง และได้ มีการชวนเพื่อนให้เข้ามาร่วมใช้ ซึ่งจะทำให้ เกิดความเข้าใจในเรื่องของระบบงานเครือ ข่าย และการรับรู้ถึงรายได้ที่จะกลับเข้ามา สู่นักธุรกิจกิฟฟารีน โดยภาพยนตร์เรื่องแรกนี้ จะมีความยาวทั้งหมด 45 วินาที ซึ่ง ระยะเวลาการออกอากาศประมาณ 10 วัน ก่อนที่จะนำเอาภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ออกอากาศต่อเนื่องให้ผู้ชมทางบ้านได้ดูสำหรับภาพยนตร์ในเรื่องที่ 2 มีชื่อว่า “จรรยาบรรณ” ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน โดยเป็นการสืบเนื่องมาจากภาพยนตร์โฆษณาชุด “Heart” ของปีที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังจะได้มีการเล่าถึงกระบวน การคัดสรรสินค้า กระบวนการกลั่นกรองวัตถุดิบ และกระบวนการผลิต ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้บริโภคมั่นใจในตัวสินค้ากิฟฟารีนเพิ่มมาก ขึ้น และในภาพยนตร์เรื่องที่ 3 จะออกอากาศในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะเป็นการตอบโจทย์ของกิฟฟารีนเองที่ต้องการสร้างความเข้าใจที่แท้จริงของผู้บริโภคคนไทย และเป็นการเชิญชวนให้ผู้สนใจในธุรกิจเครือข่ายเข้ามาทำงานร่วมกับบริษัท ขณะที่ภาพยนตร์ที่เหลืออีกประมาณ 4 เรื่อง จะได้มีการทยอยออกอากาศอย่างต่อเนื่อง
ที่มา: หนังสือพิมพ์์”สยามธุรกิจ"http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413338999
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กิฟฟารีน! ปลุกใจสมาชิกสู้วิกฤติ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ

“กิฟฟารีน” จัดงานฉลองครบรอบ 13 ปีอย่างยิ่งใหญ่ นักธุรกิจอิสระผู้ประสบความสำเร็จ 500 ชีวิต ตบเท้าก้าวสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้าน “Becoming Giffarine Millionaires” ดึง 2 สุดยอดนักบริหารเมืองไทย “ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์” เจ้าพ่อค้าปลีก “เซเว่น-อีเลฟเว่น” และ “วิกรม กรมดิษฐ์” จาก “อมตะนคร” ร่วมวงเสวนา “แนวคิดเจ้าของธุรกิจในยุควิกฤติเศรษฐกิจ” ปลุกใจสมาชิกเครือข่ายสู้วิกฤติ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ ท่ามกลางสมาชิก “กิฟฟารีน” จากทั่วประเทศ จัดกระบวนรถบัส เดินทางแห่เข้ามาร่วมงานแน่นขนัดห้องประชุมกว่า 15,000 คน

บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้นำในธุรกิจเครือข่ายด้านผลิตภัณฑ์ และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เพื่อสุขภาพและความงาม นำโดย พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ จัดงานฉลองครบรอบ 13 ปี พร้อมประดับเข็มเกียรติยศนักธุรกิจอิสระ ภายใต้แนวคิด “Becoming Giffarine Millionaires” หรือการ “ก้าวสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้าน” พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกกว่า 10 รายการ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

พญ.นลินี เปิดเผยถึงการจัดงานฉลองครบรอบ 13 ปีว่า นอกจากจะเป็นงานฉลองครบรอบ 13 ปีของกิฟฟารีนแล้ว ยังถือเป็นการจัดงาน เพื่อประกาศเกียรติคุณนักธุรกิจอิสระ รวม 500 คน ที่สามารถทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ และก้าวสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้านได้อย่างน่าภาคภูมิใจ และที่สำคัญของการจัดงาน คือ การสร้างให้บรรดาสมาชิกของกิฟฟารีน ได้มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจเครือข่ายขายตรง ที่สามารถเร่งสร้างรายได้ เพื่อเป็นหนึ่งในทำเนียบเศรษฐีเงินล้านของกิฟฟารีน ซึ่งที่ผ่านมามีนักธุรกิจที่เข้าสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้านกิฟฟารีนไปแล้วกว่า 1,000 คน

นอกจากนี้ ยังถือเป็นการจัดงานเพื่อเป็นการปลุกขวัญและให้กำลังใจกับสมาชิกเครือข่ายของกิฟฟารีนด้วย โดยการเชิญ 2 ผู้บริหารระดับสูง ระดับซีอีโอ ที่มีชื่อเสียง ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย เข้ามาร่วมวงเสวนา ภายใต้หัวข้อ “แนวคิดของเจ้าของธุรกิจในยุควิกฤติเศรษฐกิจ” เพื่อแบ่งปันความรู้ และบอกเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ และปลุกขวัญสมาชิกให้มีกำลังใจในการทำธุรกิจ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจด้วย คือ นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.ออล์ จำกัด (มหาชน) และนายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานบริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัทในเครือ โดยมีนายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวชื่อดังจากเนชั่นและช่อง 7 รับหน้าที่พิธีกร

“13 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่า กิฟฟารีน เติบโตอย่างมั่นคง ด้วยผลประกอบการที่ดีเกินคาด มียอดขายโดยรวมแล้วเกินกว่า 30,000 ล้านบาท พร้อมทั้งแจกจ่ายเป็นรายได้ให้กับนักธุรกิจอิสระของกิฟฟารีนไปแล้วเกินกว่า 12,000 ล้านบาท และมีนักธุรกิจอิสระที่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นผู้มีรายได้เกินกว่าหลักล้านขึ้นไปแล้วกว่า 1,000 คน

หากจะถามว่า จากผลประกอบการที่ผ่านมา มีความรู้สึกอย่างไร ตอบได้เลยว่า รู้สึกภาคภูมิใจมาก แต่ความภาคภูมิใจสูงสุด ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข หรือผลประกอบการ ไม่ได้อยู่ที่การสร้างสมาชิกให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน หรือสร้างคนให้มีรายได้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การสร้างคนไทยให้เป็นคนดีต่างหาก เพราะฉะนั้นนักธุรกิจอิสระ ต้องมีหัวใจ และมีน้ำใจในการทำธุรกิจ จะต้องดูแลเอาใจใส่คนที่ชักชวนเข้ามาทำธุรกิจ จะต้องเป็นคนดี เพื่อสร้างคนดีให้เป็นเศรษฐีด้วยกัน

เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ถามว่า เรามองเห็นอะไร เชื่อว่า มองเห็นเหมือนกัน คือ ทุกคนต้องดิ้นรน ต้องพยายามสร้างสิ่งดีๆ ให้กับตนเอง ไม่มีใครยืนอยู่กับที่ เพราะหากยังคงปักหลักยืนนิ่งๆ ชีวิตก็จะไม่ดีขึ้น แต่กับคนที่มองตรงกันข้าม เขาไม่ได้อยู่นิ่ง เขากำลังมองหาอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นโอกาส นี่คือ สิ่งที่เป็นโอกาสสำหรับทุกคน โอกาสที่ดี คือ การเป็นนักธุรกิจเครือข่ายขายตรง”

พญ.นลินี ยังกล่าวถึงการดำเนินธุรกิจกิฟฟารีน เพื่อการรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจว่า กิฟฟารีน ได้เตรียมความพร้อมไว้ทุกด้านแล้ว ทั้งทางด้านกลยุทธ์ทางการตลาด และการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกแบบ 30 องศา ทั้งในกลุ่มของนักธุรกิจเครือข่ายกิฟฟารีน และในกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะการให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ในการทำแคมเปญโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาด้านการขยายงานบริการ ด้วยการเปิดศูนย์ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ทันสมัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น

สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่นั้น พญ.นลินี กล่าวว่า มีมากกว่า 10 รายการ ที่นำมาเปิดตัวภายในงานฉลองครบรอบ 13 ปี โดยส่วนมากแล้ว จะเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม อาทิ ผลิตภัณฑ์สปา ชุดจินเจอร์ สไปซี่ (Giffarine Ginger Spicy Spa Collection) ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากขิง ให้ความสดชื่นจากธรรมชาติ พร้อมกลิ่นหอม ช่วยคืนความสดชื่นให้ร่างกาย

ผลิตภัณฑ์ Giffarine Collagen Powder เป็นผลิตภัณฑ์สารสกัดคอลลาเจนเข้มข้นชนิดผง เนื้อเบาบางละเอียด สกัดด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง จนเป็นผงเนียนนุ่มละเอียด พร้อมละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อผสมเข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ ซึมซาบเข้าบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยดูแลผิวให้เปล่งปลั่งแลดูอ่อนวัย

ผลิตภัณฑ์ Giffarine Glamorous Perfect Coverage Foundation เป็นนวัตกรรมล่าสุดของครีมรองพื้น ช่วยอำพรางจุดบกพร่องบนใบหน้า สู่ผิวหน้าเนียนสวยเป็นธรรมชาติ และยังคงความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างยาวนานตลอดวัน

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ Giffarine ORYZA-E กิฟฟารีน โอรีซ่า-อี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าว ผสมน้ำมันจมูกข้าวสาลี และวิตามินอี ชนิดแคปซูล

ผลิตภัณฑ์ Giffarine Slimm-Fit เป็นผลิต ภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดจากผลสัมแขก

ผลิตภัณฑ์ Giffarine ACTIV MALT กิฟฟารีน แอคทีฟ มอลต์ เครื่องดื่มรสช็อกโกแลตมอลต์ปรุงสำเร็จรูป

และ Giffarine Royal Crown Black เป็นกาแฟสำเร็จรูปผสมชนิดเกล็ด

ที่มา: หนังสือพิมพ์ “ตลาดวิเคราะห์” ฉบับที่ 245 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2552
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สถิติเผยยอดว่างงานเดือนมี.ค.52 พุ่งเป็น 7.11 แสนคน อัตราว่างงาน 1.9%
นางธนนุช ตรีทิพยบุตร เลขาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติ(สสช.) เปิดเผยว่า สสช.ได้สำรวจภาวะว่างงานประชากรเดือนมี.ค.52 พบว่า มีจำนวน 711,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 182,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.9%
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ว่างงานมากที่สุด 301,000 คน รองลงมา เป็นภาคกลาง 148,000 คน ภาคเหนือ 116,000 คน ภาคใต้ 88,000 คน และกรุงเทพฯ 56,000 คน เมื่อเทียบกับปีก่อนพบว่ามีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นในทุกภาค โดยเฉพาะที่ภาคกลางเพิ่มขึ้น 52,000 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 51,000 คน ภาคเหนือ 37,000 คน ภาคใต้ 25,000 คน ส่วนกรุงเทพฯ มีผู้ว่างงานลดลง 10,000 คน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรม 480,000 คน และเป็นผู้ว่างงานจากภาคการผลิตมากที่สุดถึง 230,000 คน เพิ่มขึ้น 90,000 คน ภาคบริการและภาคการค้า 170,000 คน เพิ่มขึ้น 60,000 คน และภาคเกษตรกรรม 80,000 คน ลดลง 50,000 คน ส่วนภาวะการทำงานของประชากรพบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยผู้มีงานทำในเดือน มี.ค.52 มีจำนวน 36.57 ล้านคน เพิ่มขึ้น 780,000 คน ผู้ทำงานในภาคเกษตรกรรม เพิ่มขึ้น 200,000 คน จาก 12.31 ล้านคน เป็น 12.51 ล้านคน และผู้ทำงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 580,000 คน จาก 23.48 ล้านคน เป็น 24.06 ล้านคน โดยเพิ่มขึ้นในสาขาขนส่งมากที่สุด 390,000 คน รองลงมาคือสาขาก่อสร้าง 390,000 คน สาขาบริหารราชการแผ่นดิน 100,000 คน การค้าอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจให้เช่าและธุรกิจอื่นๆ 50,000 คน เป็นต้น ขณะที่สาขาการผลิตมีคนทำงานลดลง 200,000 คน สำหรับผู้ที่ทำงานในสาขาการผลิตลดลงในสาขาสำคัญๆ เช่น การผลิตสิ่งทอลดลง 1.1 แสนคน, การผลิตผลิตภัณฑ์จากแร่อโลหะ 58,000 คน, การพิมพ์โฆษณา 53,000 คน, การผลิตผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก 51,000 คน และการผลิตเฟอร์นิเจอร์ 47,000 คน เป็นต้น http://www.ryt9.com/s/iq01/576829/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเป้าการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ คาดติดลบ

ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเป้าการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ คาดติดลบ 1.5-3.5% เศรษฐกิจโลกฟุบนานเกินคาด ผสมปัญหาความวุ่นวายการเมือง มองหากมีการชุมนุมยืดเยื้อปะทุขึ้นอีก จีดีพีมีโอกาสหดตัวมากกว่า 3.5% ด้าน สศช.ประเมินไตรมาสแรกปีนี้อาการหนักสุด
ดร.ดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปี 2552 ใหม่ คาดว่าจะหดตัวอยู่ในช่วงติดลบ 1.5-3.5% หลังจากมีการทบทวนสมมติฐานใหม่เทียบกับข้อสมมติฐานใน 3 เดือนก่อน โดยเห็นว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในปี 2552 และปี 2553 ปรับลดลงมาก และคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการเติบโตชะลอตัวลงจากเดิม ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาใช้ประกอบในการประมาณอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยใหม่ในครั้งนี้
"เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอยนานกว่าที่ประเมินไว้ และฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้ ขณะที่ความไม่สงบทางการเมืองที่ยืดเยื้อ อาจทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยว อีกทั้งความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจจะไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้" ดร.ดวงมณีกล่าวและว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยจะติดลบสูงสุดในไตรมาสแรกปีนี้ จากนั้นจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2-3 และฟื้นตัวเป็นบวกได้ในไตรมาส 4
อย่างไรก็ตาม หากมีการชุมนุมเกิดขึ้นอีกและยืดเยื้อก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจของไทยหดตัวมากกว่า 3.5% ได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้ามองการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยทั้งปี 2552 มีโอกาสที่จะหดตัวถึง 5% น้อยมาก เพราะผลกระทบจากการชุมนุมในช่วงเดือนเมษายน 2552 นั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบมากนักเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนตลอดทั้งปี เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงฤดูท่องเที่ยว ต่างกันกับการปิดสนามบินสุวรรณภูมิในไตรมาส 4 ปี 2551
ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ในการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2552 ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ สศช.คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบมากกว่า 4-5% โดยแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจทั้งปี 2552 จะติดลบมากกว่า 2% ขึ้นไป และต้องมีการปรับประมาณการตัวเลขใหม่ ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเศรษฐกิจจะติดลบรุนแรงถึงระดับ 4-5% หรือไม่
ส่วนผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่การก่อจลาจลในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ดร.อำพน ระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยเป็นผลกระทบในระยะยาวมากกว่า คือจะทำให้การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะฟื้นตัวไตรมาส 4 จะต้องเลื่อนออกไปอีก และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเร่งทำความเข้าใจกับต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความเชื่อถือของประเทศให้กลับคืนมาอีกครั้ง
http://www.komchadluek.net
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

กูเกิ้ล (Google) ได้เพิ่มคุณสมบัติการทำงานในรูปแบบเครือข่ายสังคม (Social Networking)

เข้าไปในบริการ iGoogle โฮมเพจปรับแต่งได้ของทางบริษัท โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มซอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า "Gadgets" ที่ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเพื่อนฝูง และคนรู้จักในเครือข่ายฯ เพื่อเข้ามาเล่นเกมส์ หรือติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ บนออนไลน์ได้
แก็ดเจ็ตใหม่ที่เน้นการใช้บริการเครือข่ายสังคม 19 โปรแกรมด้วยกัน ในที่นี้รวมถึงเกมส์สนุกๆ อย่าง หมากรุก และการอัพเดตความเคลื่อนไหวชีวิตบนออนไลน์ได้อีกด้วย "แก็ดเจ็ตโซเชียล (Social gadgets) จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้แบ่งปัน และทำอะไรร่วมกัน ตลอดจนเล่นเกมส์์กับเพือนๆ โดยทุกอย่างจะอยู่บนโฮมเพจ (iGoogle) ของผู้ใช้" เพื่อนๆ ของคุณสามารถเห็นในสิ่งที่คุณแชร์ หรือทำในโซเชียลแก็ดเจ็ตด้วยการใช้แก็ดเจ็ตตัวเดียวกันบนโฮมเพจของพวกเขา หรือผ่านทางระบบฟีดข้อมูลใหม่ที่เรียกว่า Updates" ความหมายคือ ผู้ใช้ iGoogle จะสามารถสร้างกลุ่มเพื่อน (Friends group) เพื่อกำหนดได้ว่า ต้องการแชร์ข้อมูลดิจิตอลให้ใครบ้าง
สำหรับแก็ดเจ็ตโซเชียลบน iGoogle ได้มีการเปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้วในออสเตรเลีย และกำลังเปิดให้บริการในสหรัฐฯ "โฮมเพจ Google จะทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนกับข้อมูลข่าวสาร และเรามีความตื่นเต้นที่ iGoogle จะได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกเข้าด้วยกัน" ผู้บริหารกูเกิ้ลกล่าว "เราหวังว่า แก็ดเจ็ตโซเชียลเหล่านี้จะทำให้ iGoogle มีความสนุกมากขึ้น และเป็นโฮมเพจส่วนตัวสำหรับคุณอย่างแท้จริง"
ปัจจุบันมีแก็ดเจ็ต หรือโปรแกรมขนาดเล็กมากกว่า 60,000 ตัวที่สามารถเรียกใช้ปรับแต่งหน้าโฮมเพจ iGoogle ได้ทันที ซึ่งตอบสนองการใช้งานในลักษณะต่างๆ ตั้งแต่ การปรับแต่งแปลงโฉม ไปจนถึงเกมส์สนุกๆ หรือแม้แต่โปรแกรมใช้งานต่างๆ และเหนืออื่นใด เป้าหมายของการทำแก็ดเจ็ตโซเชียลยังทำให้ Google กลายเป็นคู่แข่งที่จะเข้าช่วงชิงเวลาออนไลน์ของผูั้ใช้ที่อยู่ในบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กดังๆ อย่าง Facebook, MySpace หรือแม้แต่ Twitter อีกด้วยhttp://www.arip.co.th/news.php?id=409707
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

เผย10อันดับขายตรงแห่งปี

ส่วนบริษัทขายตรง MLM ที่มียอดขายสูงสุด 10 อันดับ ...หนังสือพิมพ์รายปักษ์ “ตลาดวิเคราะห์”ได้เก็บรวบรวมตัวเลขจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยนำเอาผลประกอบการในปี 2549 เปรียบกับปี 2550 และยังมีการประมาณการผลประกอบการในปี 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งประเมินจากการสอบถามแต่ละบริษัทขายตรง โดยยอดขายปี 2551 ที่ได้มา แต่ละบริษัทขายตรงยังไม่ได้รายงานตัวเลขอย่างเป็นทางการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแต่อย่างใด สำหรับ 10 อันดับ บริษัท ขายตรง MLM ที่มียอดขายสูงสุด
1)บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 9,102,679,124 บาท ส่วนปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 9,533,950,045 บาท และปี 2551 ตัวเลขยอดขายประมาณการอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท,
2) บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 3,212,560,314.14 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3,693,951,285.59 บาท และในปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท
3) บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด โดยยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 1,954,392,397.80 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2,048,501,360.43 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 2,900 ล้านบาท,
4) บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 1,233,169,040.80 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,809,895,879.93 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท,
5) บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 1,006,882,334 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,045,803,964 บาท และปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท
6) บริษัท สุพรีเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 779,322,512.77 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 749,477,028.28 บาท และปี 2551 ประมาณการยอดขายอยู่ที่ 900 ล้านบาท
7) บริษัท เอวอน คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 932,429,457 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 685,953,978 บาท ส่วนปี 2551 ยังไม่สามารถประมาณการยอดขายได้
8) บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ปี 2549 ยอดขายอยู่ที่ 408,176,682 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 551,730,024 บาท ส่วนปี 2551 มีการประมาณการยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยตัวเลขอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท เรียกว่า เติบโตขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี 2550 ซึ่งเมื่อรายงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว จะต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเป็นตัวเลขที่แท้จริง ตามที่บริษัทได้ประมาณการไว้หรือไม่
9) บริษัท นูไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 310,336,914 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 335,130,288 บาท และปี 2551 ประมาณการยอดขายลดลงอยู่ที่ 300 ล้านบาท
10) บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 282,271,967.76 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 253,686,955.03 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการยอดขายอยู่ที่ 291 ล้านบาท
ด้านบริษัทขายตรงชั้นเดียว SLM ที่มีผลประกอบการดี 4 อันดับ ประกอบด้วย บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (มิสทิน) ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 4,293,975,041 บาท ส่วนปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4,875,953,038 บาท
ถัดมาเป็นของบริษัท ลุกซ์ รอยัล (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 606,328,743 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 633,890,367 บาท,
บริษัท เอสเอส ยูพี กรุงเทพ 1991 จำกัด (คิวท์เพรส) ปี 2549 ยอดขายอยู่ที่ 490,626,147.33 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 590,040,566.60 บาท
และบริษัท ยูสตาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 187,460,067.72 บาท ส่วนปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 170,616,491.52 บาท
ส่วนบริษัทขายตรงตามแผนธุรกิจแบบไบนารี่ (ไตรนารี่) นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถจัดอันดับได้
ที่มา ตลาดวิเคราะห์ เรียบเรียงโดย 12RCD
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

โฆษณาเด็ดส่งยอดกิฟฟารีนพุ่ง 16% เผยแห่สมัครสมาชิกเพิ่ม4หมื่นรหัส

กิฟฟารีน โวลั่นอวดยอดขาย 8 เดือนพุ่งกระฉูดเกินเป้าที่วางไว้ รับผลพวงจากโฆษณาชุดใหม่บีลีฟ ในประโยคติดหู "ทำไมต้องกิฟฟารีน" ช่วยดันยอดคนแห่สมัครเป็นสมาชิกใหม่ถึงเดือนละ 40,000 รหัส ลุ้นการเมืองชัดเจนดันยอดซื้อต่อบิลโค้งสุดท้ายเพิ่ม 15% นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงกิฟฟารีน และในฐานะนายกสมาคมขายตรงแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการทำตลาดในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม พบว่าบริษัทฯมียอดขายเติบโต 16% สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากเดิมตั้งเป้าหมายว่าอัตราการเติบโตจะมีเพียง 12% เท่านั้น เนื่องจากการปรับแผนตลาดต่างๆตามสภาพภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าราคาเหมาะสมมากขึ้น ทั้งนี้การที่บริษัทฯ มียอดขายสูงกว่าเป้าหมาย โดยมีผู้สมัครเป็นสมาชิกขายตรงของบริษัทฯเพิ่มขึ้นถึงเดือนละ 40,000 รหัส จากปกติที่มีสมาชิกใหม่เดือนละ 30,000-35,000 รหัส ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งคือ การเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ภายใต้ชื่อ บีลีฟ มี ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีมาก โฆษณาทำให้กลุ่มลูกค้าจดจำและเข้าใจถึงการสื่อสารระหว่างคนกับแบรนด์ได้ดีเกินเป้าหมายที่วางไว้ ในประโยคเด็ดที่ว่า "ทำไมถึงต้องกิฟฟารีน" ที่ไม่ได้นำเสนอการขายของเพียงอย่างเดียว แต่เน้นเสนอเรื่องราวที่ให้ผู้บริโภคเข้าใจธุรกิจขายตรงมากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจและกล้าลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง นางนลินีกล่าวว่า การที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคสมัครเป็นสมาชิกขายตรงมากกว่าเดิม เพราะเป็นทางเลือกในการหารายได้เสริมได้เป็นอย่างดี ซึ่งธุรกิจขายตรงนับว่าเป็นทางออกของคนในสังคมปัจจุบันมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวเป็นการเสริมรายได้อีกทางให้กับชีวิตโดยที่ได้รับผลตอบแทนค่อนข้างดี สำหรับประเด็นของราคาสินค้าที่จำหน่ายในปัจจุบันนั้น แม้ทุกบริษัทจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าคงจะปรับราคาขึ้นให้น้อยที่สุด เพราะเข้าใจสถานการณ์กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ยกเว้นสินค้าบางรายการที่ต้นทุนสูงต่อเนื่อง จึงต้องปรับราคาเพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้ และได้อธิบายให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงความจำเป็นดังกล่าวด้วย ขณะเดียวกันบริษัทฯคาดว่าภาพรวมธุรกิจขายตรงในไตรมาสที่ 4 จะต้องเติบโตดีขึ้น หรือคิดเป็น 10% จากมูลค่า 40,000 ล้านบาท มียอดซื้อต่อคนต่อครั้งเพิ่มขึ้นอีก 15% ส่วนยอดขายรวมของบริษัทฯในสิ้นปีนี้คาดเป็นไปตามเป้าหมายคือ 3,800 ล้านบาท เติบโต 10-12% ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อเทียบกับทุกไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งยอดซื้อต่อครั้งลดลง สาเหตุอันเนื่องมาจากไตรมาสทีสี่ผลพวงจากสถานการณ์การเมืองเริ่มมีความชัดเจนทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการจับจ่าย ขณะที่เงินสะพัดในช่วงเลือกตั้ง คาดว่าไม่มีผลต่อการซื้อสินค้ามากนัก เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่จะมาจากรายได้ที่สม่ำเสมอ
ที่มา:http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=62953
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การช่วยคนรากหญ้าในโลกทุนนิยม มี 2 วิธีหลัก คือ

ก. ปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร และปกป้องภาคเกษตรกรรมของประเทศวิธีนี้ต้องเชื่อว่าประเทศไทยมีทักษะความชำนาญเฉพาะด้านภาคการเกษตรจริงๆ มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบด้านอุปทานในภาคการเกษตรถึงบรรทัดนี้อยากถามว่า แน่ใจหรือว่าประเทศไทยมีความได้เปรียบเทียบในด้านนี้ โดยเฉพาะปัจจัยทางด้านที่ดิน???และเมื่อเพื่อพิจารณาบริบทแวดล้อมระดับโลกในกรอบของความสามารถเชิงแข่ง ขัน แน่ใจหรือว่าประเทศไทยมีความสามารถในด้านภาคเกษตรกรรม ผมตอบได้เลยว่าไม่มีครับ ประเทศไทยล้าหลังในด้านเทคนิคการเกษตร (ผมหมายถึงชาวนารายย่อย แต่อันที่จริงบริษัทการเกษตรรายใหญ่ของไทยไม่ว่าจะเป็นด้านข้าว น้ำตาล ก็มีประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำมากในระดับโลกทั้งสิ้น) การชลประทาน ปุ๋ย การเพาะพันธุ์พืชและ ฯลฯ ประเทศไทยมีทักษะด้านอะไรไปแข่งกับโลก ไม่มีเลย เพราะเราไม่เคยใส่ปัจจัยทุนใช้ในการวิจัยและพัฒนาทางด้านนี้จริงจัง แม้กระทั่งรัฐบาลไทยรักไทย ตลอด 5 ปีไม่เคยสนใจที่ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรกรรม
ข. เปลี่ยนชนชั้นรากหญ้าให้เป็นชนชั้นกลางซะวิธีนี้เป็นวิธีที่กลุ่มโลกที่1 ทำกันอยู่โดยทั่วไป เพราะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ราคาสินค้าเกษตรโดยมากมักผันผวน ไม่แน่นอน มูลค่าเพิ่มต่ำ ไม่สามารถสะสมทุนและยกระดับการพัฒนาประเทศไทยโดยรวมได้ ที่ผ่านมานโยบายแผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแผน 1 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ เข้าใจถึงข้อนี้ดี โดยพยายามบีบแรงงานภาคเกษตรออกมาเป็นแรงงานในเมือง เก็บภาษีส่งออกข้าว หรือพรีเมียมข้าว แต่แผนดังกล่าวไมได้ชดเชยผลลบที่เกิดจากการโยกย้ายแรงงานในภาคการเกษตรมาสู่ โรงงานสิ่งทอ และอุตสาหกรรมอื่นๆแผนพัฒนาฯ ตั้งแต่แผนแรกถึงแผน 6 หรือ 7 (ผมจำไม่ได้) ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าหลักประกันทางสังคม สหภาพแรงงาน สวัสดิการทำงานเยี่ยงประเทศอุตสาหกรรมดังนั้น แรงงานภาคการเกษตรที่โยกย้ายเข้าสู่ภาคการผลิตในเมืองต้องเผชิญกับภาวะเงิน เฟ้อในเมือง (ราคาสินค้าและบริการทั่วไปในเขตเมืองสูงกว่าเขตชนบท) และผลลบจากอำนาจต่อรองที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ยิ่งทักษะแรงงานไทยไม่ได้พัฒนาในระดับเดียวกับอัตราการเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจ จึงมีปรากฏการณ์ทักษะแรงงานไทยระดับเดียวกับพม่าและกะเหรี่ยง แต่ค้าจ้างสูงกว่า นายจ้างจะเลือกใครhttp://guru.google.co.th/guru/thread?tid=1bf479bb2efc0aa4&clk=wttpcts
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

3 ปัจจัยที่ไทยต้องเผชิญ

ปี 2552 เมืองไทย ยังคงต้องลำบากต่อไปอีก นี่คือความคิดเห็นของเชาวรัตน์ เชาวน์ชวานิล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารทรัพย์สิน บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) โดยให้เหตุผลว่าเพราะสถานการณ์ทุกอย่างยังอยู่ในขาลง ผมมองสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเจอในปีหน้ามี 3 ประการด้วย กันคือ 1. เป็นเรื่องของการส่งออก แน่นอนว่าไทยเราต้องตกที่นั่งลำบากเพราะต่างประเทศก็เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นเดียวกับไทยเรา ดังนั้นตัว เลขการส่งออกย่อมไม่ดีแน่นอน 2.การท่องเที่ยว ตรงนี้ต้องบอกว่าเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีใครกล้ามาเที่ยวไทยในช่วงต้นปีแรกๆของปีหน้าอย่างแน่ นอน เพราะอาจจะยังไม่เชื่อมั่นในเรื่องความสงบในบ้านเมืองเรา เรื่องที่ 3. ภาคการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นฐานดั่งเดิมของคนไทยว่าใน สถานการณ์แบบนี้จะทำการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าได้อย่างไร บ้านเมืองเรามีที่ดินที่ว่างเปล่าอีกเยอะแยะมาก ภาครัฐน่าจะออกมาดูเรื่องนี้และเป็นแกนน้ำกระตุ้น ให้ประชากรหรือคนตกงานได้หันกลับมาทำการเกษตรให้มากขึ้น อย่างน้อยในภาวะแบบนี้คนไทยก็ยังมีอยู่มีกิน ไม่อดตาย เราคนไทยควรมองในแง่ดี เพราะในตอนวิกฤติเช่นในปี 2540 สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยคือครอบครัวอบอุ่น ทุกคนในบ้านกลับบ้านเร็วมาเจอ กัน ทานอาหารร่วมกัน อยากให้สังคมไทยมองในแง่ดี ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ส่วนภาคธุรกิจอสังหาฯนั้น คิดว่าปีหน้าเป็นปีของการระมัดระวัง ทั้งฝ่ายคนพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งฝ่ายสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้ และฝ่ายคนซื้อบ้าน ทุกอย่างต้องทำอย่างรอบครอบระมัดระวัง การเติบโตของภาคธุรกิจนี้ก็คงจะเติบโตช้าลงเหมือนภาคธุรกิจอื่นๆ http://www.businessthai.co.th/bt/content.php?data=414999_%a2%e8%d2%c7%bb%a1
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ทวิตเตอร์ (Twitter)

บริการไมโครบล็อกกิ้งที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้ทั่วโลกรวมถึงในบ้านเรา ได้เริ่มให้บริการคัดกรอง URL หรือ"ลิงค์"อันตราย เพื่อปกป้องผู้ใช้จากมัลแวร์ต่างๆ ที่อาศัยช่องทางนี้ในการหลอกล่อผู้ใช้บริการให้ไปติดกับโดยไม่รู้ตัว
ช่วงที่ผ่านมา แฮคเกอร์ และสแปมเมอร์ชอบใช้ทวิตเตอร์ (twitter) ในการส่งผู้ติดตาม (follows) ไปยังเว็บไซต์ที่ต้องการขายสินค้าบางอย่าง หรือแม้แต่ติดตั้งโปรแกรมที่ผู้ติดตามไม่ได้ต้องการ ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ หลอกให้ไปติดไวรัส และมัลแวร์ต่างๆ โดยเว็บไซต์เหล่านี้ หากไม่ได้รับการตรวจสอบอาจสร้างความเสียหายให้กับบริการของทวิตเตอร์ได้
รายงานล่าสุดนี้มาจาก F-Secure บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งกล่าวว่า ทวิตเตอร์กำลังกีดกัน (block) URL อันตรายที่มีการโพสต์เข้าไปในบริการ โดยหากผู้ใช้คลิ้กบน URL อันตรายจากในบริการ Twitter ผู้ใช้จะได้รับข้อความเตือนว่า "Oops! Your tweet contained a URL to a known malware site!"
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของการป้องกันที่ยังเป็นปัญหาอยู่สำหรับ Twitter ต่อกรณีของการป้องกัน URL อันตรายก็คือ พวกบริการ URL อย่างย่อที่ยังไม่ได้ถูกคัดกรองป้องกันแต่อย่างใด ทำให้แฮคเกอร์ยังคงสามารถใช้วิธีนี้ส่ง tweet ของลิงค์อันตรายได้อยู่ดีhttp://www.arip.co.th/news.php?id=409635
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

คุณภาพ/ความต่าง แจ้งเกิด ''กิฟฟารีน''

เริ่มจากธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง จนปัจจุบันธุรกิจขายตรง ภายใต้ชื่อ กิฟฟารีน ก้าวขึ้นมาสู่ธุรกิจขายตรง หรือ MLM (Multi Level Marketing) ยักษ์ใหญ่ที่ใครๆต่างรู้จัก ไม่เฉพาะแค่ในประเทศ แต่ชื่อเสียงขจรขจายไปใน30 ประเทศทั่วโลก เป็นโลคอลแบรนด์คนไทยที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในเวลาอันรวดเร็วเพียงแค่ 11 ปี จากยอดขายปีแรกเพียง 348 ล้านบาท ขยับขึ้นมาเหยียบ 3,900 ล้านบาทในปี 2550 กับ 94 สาขาทั่วประเทศไทยภาพความสำเร็จของกิฟฟารีนในวันนี้ ส่งผลให้บทบาทความเป็นนักธุรกิจหญิงของ คุณหมอต้อย หรือ แพทย์หญิง นลินี ไพบูลย์ ในฐานะซีอีโอหญิงและผู้ก่อตั้งบริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น โดยล่าสุดเธอได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 3 นักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2007 อีกด้วย
และเมื่อเร็วๆนี้ เธอยังได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จของไทยเข้าร่วมประชุม Asian Forum on Venture Business ในหัวข้อ Ladies and Now Leading The Business New Challenged For Business In Asian ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด และวิสัยทัศน์การทำธุรกิจ ตลอดจนหลักการบริหารงานองค์กรให้ประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย หรือ Asian Productivity Organization (APO) คือ องค์การระหว่างประเทศของรัฐบาลในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งจั้งตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1961 เป็นองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่หวังผลกำไร และไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติหรือความแตกต่าง มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตและเร่งรัดการพัฒนาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก 20 ประเทศ มี 8 ประเทศสมาชิกร่วมผู้ก่อตั้ง คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และไทย ภายหลังมีอีก 12 ประเทศเข้าร่วมสมทบ คือ ฮ่องกง อิหร่าน เวียดนาม ศรีลังกา อินโดเนีย
-กำหนดทิศทางกิฟฟารีน
คุณหมอต้อย เริ่มต้นถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟัง โดยเริ่มจากแรงบันดาลใจที่ก่อให้เกิดการจัดตั้งบริษัทธุรกิจขายตรง กิฟฟารีน ว่า เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้น หลังจากที่ได้หย่ากับสามี ซึ่งได้ส่วนแบ่งเป็นเงินสดมาจากธุรกิจที่ทำร่วมกัน คือ สุพรีเดอร์ม ประมาณ 10 ล้านบาท พร้อมๆกับสิทธิ์ในการดูแลบุตรสาวทั้งสอง
ช่วงเริ่มต้นของการสร้าง กิฟฟารีน ในปี 2539 ซึ่งเป็นโลคัลแบรนด์มิใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากเป็นจังหวะที่กำลังจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจพอดิบพอดี (ปี 2539) แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณหมอต้อยเชื่อมั่นว่า จะสามารถผ่านพ้นไปได้ อุปสรรคที่ใหญ่กว่า คือ การปรับทัศคติของคนไทยที่มีต่อธุรกิจขายตรง
ประสบการณ์จาก สุพรีเดอร์ม สอนให้รู้ว่า คนไทยไม่ค่อยชอบงานขาย หากขายของให้เพื่อนมักจะทำไม่ได้ กลัวเพื่อนจะมองไม่ดี เพราะฉะนั้น ทำอย่างไรถึงจะลบทัศนคติในเรื่องนี้ได้ จึงเกิดแนวคิดใหม่ และนำมาพัฒนาให้เกิดขึ้นในธุรกิจขายตรง ภายใต้แบรนด์ กิฟฟารีน โดยสื่อสารออกไปยังกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มสมาชิกให้รับทราบว่า กิฟฟารีน ต้องการเชิญเขามาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ มาสร้างเครือข่ายการใช้สินค้าของกิฟฟารีน แทน
ความสำเร็จในวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการวางโมเดลธุรกิจให้ แตกต่างและโดนใจ กลุ่มผู้บริโภค ซึ่งมาจากประสบการณ์ตรงและแนวคิดแบบฉบับของคุณหมอนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตอบโจทย์ และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง โดยวางโปรดักส์ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และระบบผลตอบแทนตัวแทนขาย ที่เน้นเช่นเดียวกับการให้ผลกำไรกับผู้ถือหุ้นบริษัท ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่แตกต่างไปจากแบรนด์อื่น
ขณะที่การสร้างความรู้สึกของการเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น คุณหมอต้อยยึดหลัก ความโปร่งใส คนที่เป็นนักธุรกิจและพนักงานของกิฟฟารีนจะรู้ทุกอย่างว่า บริษัทมีผลประกอบการเท่าไร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ชี้ให้เขาเห็นว่า เราลงทุนในเรื่องใดบ้าง ประโยชน์ที่เขาได้คืออะไร ง่ายๆคือ ถ้าเราประสบความสำเร็จเราก็ประสบความสำเร็จร่วมกัน ถ้าจบเราก็จบด้วยกัน ทุกคนในกิฟฟารีนรู้ทุกอย่างราวกับ ผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง
-คุณภาพ/ความต่าง
แนวคิดของกิฟฟารีน เกิดขึ้นจากการประมวลภาพของคน ตลาด และกลุ่มลูกค้า ด้วยความเข้าใจ โดยนำความเป็นแพทย์เข้ามาใช้ เพราะโดยส่วนตัวแล้วคุณหมอท่านนี้เชื่อมั่นว่า การจะทำให้คนไทย เชื่อมั่นในโลคอลแบรนด์นั้น ผลิตภัณฑ์สินค้าจะต้องมีสิ่งที่ มากกว่าและแตกต่าง ดังนั้น สินค้าของกิฟฟารีนจึงเน้นคุณภาพ วัตถุดิบ และราคาที่ไม่แตกต่างจากสินค้าในตลาด ขณะเดียวกันเพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคว่า เป็นไปตามแนวคิดและนโยบายดังกล่าวข้างต้น กิฟฟารีน จึงต้องมีผลวิจัย และเอกสารอ้างอิงประกอบให้กับผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของบริษัท
ด้วยความที่เราเป็นหมอ การที่เราจะเชื่อในยาตัวใดตัวหนึ่ง จะต้องดูว่า มีงานวิจัยชิ้นใดมาสนับสนุนอยู่ด้วยไหม เป็นสถาบันที่เชื่อถือได้หรือไม่ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่เชื่อ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนจะบอกรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่ใช้ มีงานวิจัยสนับสนุนมาประกอบ รวมทั้งขั้นตอนการผลิตต่างๆด้วย นอกจากนี้เพื่อสร้างมาตรฐานการผลิตเป็นของตัวเอง กิฟฟารีนจึงมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองด้วย
-ปัจจัยความสำเร็จ
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ แน่นอนว่า ต้องประกอบด้วยหลากหลายปัจจัยที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในปัจจุบัน และกิฟฟารีนเองก็เช่นกันที่ไม่ต่างจากธุรกิจทั่วไป ซึ่งคุณหมอต้อยบอกว่า ในฐานะผู้นำองค์กร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเข้าใจกลุ่มลูกค้า ซึ่งกิฟฟารีนให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่กิฟฟารีนคำนึงและให้ความสำคัญสูงสุด เป็นเรื่องของความต้องการของลูกค้า รวมถึงทิศทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ ความมุ่งหวังของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีน อาจกล่าวได้ว่า กิฟฟารีน เป็นบริษัทที่ใช้ การตลาดเป็นตัวขับเคลื่อน เป็นตัวนำ (marketing lead) ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้กิฟฟารีนผลิตสินค้าตามความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคเรื่อยมา
ประการที่สองคือ การสร้างเข้าใจต่อรูปแบบของธุรกิจที่มีความชัดเจน แจ่มชัด เป็นรูปธรรมให้กับคนไทยว่า เป็นธุรกิจที่จับต้องได้ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ก็เป็นสินค้าที่ทำให้เกิดการซื้อซ้ำได้ง่ายและสม่ำเสมอในกลุ่มคนไทย ซึ่งปัจจุบันใน 4 ล้าน 3 แสนรหัส มีนักธุรกิจอิสระที่รับรายได้จากกิฟฟารีนประมาณ 300,000 คน ที่เหลือเป็นผู้บริโภค
ประการที่สามคือ ความสามารถในการปลูกฝังคนในองค์กรให้มีความรู้สึกว่า ทุกคนเป็นเจ้าของกิฟฟารีนร่วมกัน ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้พนักงานทุกคนมีความสุขที่จะทำงานอยู่ในองค์กรแห่งนี้ สุดท้ายคือ การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้กับธุรกิจขายตรง อย่างการสร้างแบรนด์ด้วยวิธีการทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในรูปของสื่อมีเดีย
ขณะที่เทคนิกการบริหารความเสี่ยง คุณหมอต้อยบอกว่า ถ้ามีการเตรียมความพร้อม มีแผนงานที่ดี ความเสี่ยงหรือข้อผิดพลาดจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก ที่สำคัญคือ อย่าใช้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางในการตัดสินใจ แต่ให้ใช้เหตุผล ใช้คนที่มีส่วนร่วมในผลได้ผลเสีย
ที่มา:หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ http://news.giggog.com/economic/cat5/news12612/
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กิฟฟารีนสื่อความเป็นหมอต้อย ด้วยบุคลิกไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ

ในวงการขายตรงไทยถ้าเอ๋ยชื่อ หมอต้อย-แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ทุกคนต้องร้องอ๋อกันหมด ซึ่งคุณ หมอคนสวยนอกจากจะมีวิธีการเลือกดูแลรักษาสุขภาพ ให้ดูฟิตแอนด์เฟิร์มแล้วยังมีแนวทางในการบริหารงานที่ สามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นเป็นบุคลิกอย่างหนึ่งที่สะท้อนออกมาให้ทุกคนสามารถจับต้องได้ผ่านตัวบริษัทกิฟฟารีน และพนักงานที่ทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งนี้ ด้วยบุคลิกของหมอต้อย อย่างหนึ่งที่เห็นเด่นชัด คือ ความร่าเริง, เป็นคนง่ายๆ อยาก ให้คนรอบข้างมีความสุข ที่สำคัญ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้หล่อหลอมและได้ถ่ายทอดความรู้สึกตรงนี้ลงมาสู่พนักงาน, สมาชิกและแม่ทีมทุกคน จนวันนี้กิฟฟารีนจึงกลายเป็นแบรนด์ที่สะท้อนความเป็นหมอต้อยใน การเป็นมิตรกับทุกคน ปรารถนาอยากจะช่วยให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นด้วยการสร้าง งาน สร้างอาชีพเสริมเพื่อเป็นกระเป๋าเงินที่ 2 ให้กับคนไทย รวมทั้งความมีเหตุผลเพราะความ ที่เป็นหมอจึงไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ทุกอย่างต้องมีเหตุผลสามารถพิสูจน์ได้จนเป็นเหตุให้ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของบริษัทต้องมีผลงานวิจัยที่สามารถกล่าวอ้างถึงสรรพ คุณที่แท้จริงได้ ไม่ใช้คิดอยากจะผลิตอะไรออกได้ก็ทำได้โดยไม่ต้องมีผลงานวิจัยออกมาชี้วัดว่า ถึงผลที่เกิดขึ้นว่าช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้แข็ง แรงอย่างไรเมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวนั้นตัวนี้เข้าไป รวมทั้งไม่ได้มีการตั้งราคาขายจนสูงเกินกว่าเอื้อของรายได้คนไทย เพื่อให้คนไทยสามารถซื้อบริโภคซ้ำได้ ซึ่งตรงนี้ แหละคือจุดแข็งที่ทำให้ตนสามารถสู้กับแบรนด์ ใหญ่ๆ ในท้องตลาดได้ ที่สำคัญคือการบอกซ้ำๆ กับสมาชิกและพนักงานของกิฟฟารีนว่าบริษัทแห่งนี้คือบ้านของเราทุกคน เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาเอา ไปทำพัฒนาอะไรบ้าง จึงเป็นเหตุให้พนักงาน, สมาชิก และแม่ทีม รู้สึกรักองค์กรแห่งนี้ไม่อยาก ไปไหน รู้สึกถึงความเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นเจ้าของบ้านไม่เพียงแต่การมีความจงรักภักดีต่อ ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อใช้ ซื้อขาย เท่านั้น แม้งานบริหารของบริษัทกิฟฟารีนจะ ต้องดูแลพนักงานด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นพนักงานประจำ และกลุ่มที่เป็นนักธุรกิจไม่ใช่พนักงานที่ทำงานประจำกับบริษัท แต่ หัวใจของการบริหารงานของคนทั้ง 2 กลุ่ม คือความพยายามที่จะเข้าใจคนว่าแต่ละคนต้องการอะไร รวมทั้งการวิเคราะห์ถึงที่มาของปัญหา เพราะข้อดีอย่างหนึ่ง คือ กิฟฟารีนเป็น ธุรกิจที่ตนเริ่มต้นทำตั้งแต่หมายเลขศูนย์ ไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่เกิดจากการเป็นธุรกิจของวงศ์ตระกูลทำให้ตนได้มีโอกาสลงไปคลุกคลีอยู่กับบริษัทแห่งนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กอ่อนๆ ตัวเล็กๆ จนวันนี้ก้าวสู่วัยการเติบโตที่เป็นผู้ใหญ่ มากขึ้น จึงทำให้ตนเข้าใจถึงทุกขบวนการของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและการเผชิญปัญหาว่าผ่านพ้นมาได้อย่างไร รวมทั้งการพูดความจริงไม่หลอกลวงเอา เปรียบคนอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยถ้อยคำหรือการกระทำ จึงทำให้กิฟฟารีนเติบโตขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ที่สามารถออกไปยืนแข่งกับแบรนด์ต่างชาติ และการออกไปบุกเปิดตลาดต่างประเทศได้อย่างสง่างาม
ที่มา: สยามธุรกิจ http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=4947

http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะการจับรางวัล Home coming day รางวัลที่ 1

**ร่วมแสดงความยินดีกับคุณสายพิณ คงมณีฉาย ศูนย์สุราษฏร์ธานี ทีมงานของคุณเช ยุทธเดช ได้รับรางวัล Home coming day รางวัลที่ 1 ทองคำมูลค่า 100,000 บาท โชคดีมากๆครับ คงเป็นกำลังใจให้คุณสายพิณ และคนอื่นๆ กลับมาทำเป็นเรื่องเป็นราวกันอีกครั้ง สู้ๆครับ

**ยังมีอีกครับ สมาชิกผม คุณ คันธรส อยู่งาม ขอเพื่อนๆทีมงานพันธมิตร ร่วมแสดงความยินดีด้วยครับ จาก รายการ Best User รางวัลที่3 ทองคำมูลค่า 30,000 บาท ผมเป็นคนเขียนและหยอด คูปองชิงโชค ให้คุณ เก่ง คันธรส กับมือ ............ทำไมของตัวผมเองไม่ได้ฟ่ะ 5555

http://www.no-poor.com/

ทีมงานเราติดการแข่งขันท่องเที่ยวสิงคโปร์ด้วยนะครับ

สวัสดีครับ สมาชิกกิฟฟารีนทุกท่าน
วันนี้ผมมีข่าวที่น่าประทับใจมาฝากกันหลายข่าวทีเดียวครับ เริ่มต้นกันด้วยข่าวแรกเลยนะครับ นั่นก็คือ ตอนนี้ผลการแข่งขันรายการท่องเที่ยว Mini rally rewards ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าทีมงานของเราผ่านเข้ารอบไปได้หนึ่งท่านครับ นั่นก็คือผู้นำสายขอนแก่นของเรา "คุณธนเสฏฐ์ และคุณพลอยพัชชา โชคสืบศิริ" ติดการแข่งขันเที่ยวประเทศสิงคโปร์ฟรี เป็นเวลาสามคืน สี่วัน ซึ่งงานนี้ฟรีทุกอย่างจริงๆครับ แข่งขันในตำแหน่งโกลด์สตาร์ ซึ่งปกติแล้วใช้เวลาแข่งทั้งหมด 6 เดือน แต่เขามีโอกาสแข่งเพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น เนื่องจากขึ้นโกลด์ช้าไปหนึ่งเดือน แต่ก็ยังติดอันดับครับ แสดงว่าเรื่องของระยะเวลาอาจจะไม่ใช่อุปสรรคมากนัก ขอเพียงแค่เรามีความขยันอย่างสม่ำเสมอและพัฒนาองค์กรของเราให้ก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด ก็มีโอกาสชนะได้ครับ โดยทุกท่านสามารถเข้าไปแสดงความยินดีกันได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ครับ


และเริ่มแล้วอีกเช่นกันสำหรับรายการท่องเที่ยวรายการใหม่ นั่นก็คือรายการท่องเที่ยวฮ่องกง โดยแข่งกันหกเดือนอีกเช่นกัน ผู้ที่จะมีสิทธิ์แข่งได้ต้องเป็นผู้บริหารระดับโกลด์สตาร์ขึ้นไปเท่านั้นครับ ดังนั้นใครที่ยังไม่ขึ้น ยังมีโอกาสนะครับ ขึ้นเดือนนี้ก็ยังทันครับ ก็มีเวลาแข่งห้าเดือน แต่ถ้าใครเป็นโกลด์อยู่แล้ว อย่านิ่งนอนใจนะครับ พยามสร้างทีมงานให้เจริญเติบโตให้ได้มากที่สุดครับ เพราะรายการนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายขึ้นอยู่กับการสร้างทีมเป็นส่วนใหญ่ครับ สามารถหาอ่านกติกาได้จากเส้นขอบฟ้าครับอีกข่าวหนึ่งก็คือในวันจันทร์ที่ 3 สค. 2552 นี้จะมีโฆษณาของกิฟฟารีนชุดใหม่ออกมาให้ชมกันแล้วนะครับทางช่อง 3,5,7,9 จะออกมารูปแบบไหนก็คงต้องติดตามกันดู น่าจะช่วยเราในการสร้างและขยายเครือข่ายได้มากทีเดียวครับ หลังจากที่โฆษณาหายไปจากหน้าจอมาพอสมควร (ปกติจะมีออกมาประมาณครั้งเดียวครับ เป็นชุดๆ ประมาณครึ่งปีครับ)ตอนนี้เป็นช่วงของการปิดยอดรอบแรกนะครับ ขอให้สำรวจยอดกลุ่มและยอดของตัวเองด้วยครับ ว่าผ่านเงื่อนไขการขึ้นตำแหน่งหรือการรับเงินปันผลหรือยัง ถ้ายังสามารถไปปิดยอดกันได้ในช่วงนี้นะครับ รอบแรกวันที่ 1-5 รับเงินวันที่ 13 และหากไม่ทันก็มีรอบสองให้อีกครับ ระหว่างวันที่ 13-18 นี้และรับเงินกันวันที่ 23 ครับ อาจจะไปซื้อหน้ากากก็ได้นะครับ แต่ไม่มีโลโก้กิฟฟารีนครับ เป็นตรา 3M ราคา 99 บาท ได้ 10 PV ครับ จะได้ทันแฟชั่นและป้องกันโรคหวัดใหญ่ที่ระบาดในช่วงนี้ด้วยครับสำหรับฉบับนี้คงพอเท่านี้ครับ ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ด้วยครับ เราจะมีเมล์ลักษณะนี้มาเป็นระยะๆครับ เพื่อจะได้ติดตามเหตุการณ์ในวงการกิฟฟารีนได้อย่างไม่ตกข่าว ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในงานกิฟฟารีนครับ สวัสดีครับ

http://www.no-poor.com/