กิฟฟารีน giffarine www.no-poor.com
ธุรกิจเสริม กิฟฟารีน
กิฟฟารีน ธุรกิจเสริม อาชีพเสริม รายได้เสริมออนไลน์ ปรึกษาเรา ตรวจสอบดวงชะตา ศึกษาพลังธาตุในตัวคุณ วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน ภาวะผู้นำและลักษณะงานที่เหมาะกับคุณ ก่อนเริ่มธุรกิจ-คุยกับเราที่ no-poor.com

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

กิฟฟารีน พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ กับภารกิจผลักดัน “กิฟฟารีน” ให้ถึงดวงดาว

ด้วยวัย 49 ปี พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ผลักดันให้ตัวเธอก้าวขึ้นมายืนอยู่ในฐานะนักธุรกิจหญิงแถวหน้าของเมืองไทยได้ในเวลาไม่นาน และ “กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้” ภายใต้การบริหารของเธอก็เป็นที่รู้จักของคนไทย ด้วยแนวคิด และวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ จนถึงวันนี้แบรนด์ “กิฟฟารีน” สามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลาย และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยที่มาแรง สามารถชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่างน่าจับตา
จากชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่กลายเป็น Single Mom เพราะเหตุหย่าร้าง และเลี้ยงลูกเพียงลำพัง อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนนั้นหมดหวัง แต่สำหรับ “พ.ญ.นลินี ไพบูลย์” ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กลับตรงกันข้าม เพราะเธอใช้จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งนั้น สร้างเป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตของเธอและครอบครัวไปได้ไกลกว่าที่หลายคนจะคาดคิด
หลังจากจบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา พ.ญ.นลินี ทำงานรับราชการเป็นสูตินรีแพทย์ ที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมการแพทย์ทหารอากาศ ในช่วงที่ทำงานรับราชการนั้น เธอดำเนินธุรกิจคลินิกรักษาคนไข้ทั่วไป และโรคผิวหนังซึ่งเธอมีความสนใจทางด้านนี้เป็นพิเศษ ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการขยายผลต่อเนื่องไปสู่การดำเนินธุรกิจ
เมื่อผสานคุณสมบัติความเป็นแพทย์ และประสบการณ์จากการเปิดคลินิกด้วยตัวเอง บวกกับประสบการณ์ธุรกิจขายตรงในแบรนด์ “สุพรีเดอร์ม” เมื่อครั้งยังไม่ได้หย่าจากสามี เพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานให้ “หมอนลินี” หรือ “หมอต้อย” ให้ทราบถึงความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยรับผิดชอบหรือทำธุรกิจด้วยตัวเอง เส้นทางนักธุรกิจของเธอจึงดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้ยิ่งต้องค้นหาความรู้ทั้งจากตำรา และการเข้าชั้นเรียนเพื่อเสริมความรู้ด้านธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
เธอเลือกธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อสุขภาพผิวที่ดี และอาหารเสริมประเภทต่างๆ และได้ตัดสินใจเริ่มเปิดดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ทั้งการผลิตและจำหน่าย โดยเป็นการจำหน่ายในแบบธุรกิจขายตรงและตั้งชื่อบริษัทโดยนำชื่อของบุตรสาว 2 คน น้องกิ๊ฟและน้องฟ้า มารวมเข้าเป็นชื่อ บริษัทกิฟฟารีน เมื่อปี 2538 จนถึงปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 และยังคงยืนหยัดได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะในวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท มีผู้คนว่างงานกันมากมาย ธุรกิจขายตรงนับว่าเป็นทางออกที่ดีของบางคนในช่วงนั้น
ถึงแม้จะศึกษาทางด้านแพทยศาสตร์ และรับราชการมาโดยตลอด แต่ด้วยหลักการตลาดและแนวคิดริเริ่มสร้างสรรรค์ในแบบของเธอ ที่นำมาปรับใช้กับธุรกิจ เป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีกับการตลาดยุคปัจจุบัน นั่นคือ “ความงาม” และ “ความมั่นคง”
นอกจากนี้บริษัท ฯ ได้เน้นเรื่องคุณภาพของสินค้าเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและบริโภคซ้ำได้ต่อเนื่อง นำมาซึ่งการดำเนินธุรกิจขายตรงที่มั่นคงและยั่งยืน เธอบอกว่า “ความเป็นหมอสอนไว้ว่า ไม่ให้เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อต้องเริ่มต้นบอกกับลูกค้า กิฟฟารีนเลือกวิธีชี้แจงส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ ทำให้ไม่มีข้อโต้แย้งได้ ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนจึงต่างจากแบรนด์อื่น”
ส่วนความต่างที่ให้กับสมาชิกเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายจำนวนสมาชิกที่ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า คือ นอกจากให้ส่วนแบ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแล้ว ยังให้ความรู้สึกแก่สมาชิกว่าเป็นเสมือนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สามารถรับรู้รายจ่าย รายได้ของบริษัทอีกด้วย
จนถึงวันนี้ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด บริษัทขายตรงสัญชาติไทยอันดับหนึ่ง ได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ที่นวนครมูลค่า 700 ล้านบาท ปูทางสู่การเป็นที่หนึ่งในตลาดขายตรง และรองรับการขยายงานในอนาคต โดยโรงงานแห่งนี้มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ ห้องทดลองกลาง (Central Lab) ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา (Research & Development Lab) มีหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ของกิฟฟารีน ซึ่งเป็นขั้นตอนของการค้นคว้าวิจัย และคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก ที่สำคัญวัตถุดิบเหล่านั้นจะต้องมีงานวิจัยทางการแพทย์รับรอง
โรงงานแห่งใหม่นี้มีกำลังการผลิต เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 เท่าตัว หรือประมาณ 20 ล้านชิ้นต่อเดือน เพื่อรองรับยอดจำหน่ายได้ถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี และรองรับกำลังการผลิตได้ ได้อีก 9-10 ปี ทั้งนี้จากการสร้างโรงงานดังกล่าว จะผลักดันให้ยอดขายกิฟฟารีนบรรลุเป้าหมาย 5,000 ล้านบาท ในปี 2553 หรือมีการเติบโต 15-20% อย่างต่อเนื่อง โดยมาจากการขยายธุรกิจภายในประเทศ ต่างประเทศ และการรับจ้างผลิต
การเปิดโรงงานครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุน ทั้งการทำตลาดภายในประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วน 95% ของรายได้ หรือการขยายตลาดต่างประเทศ ทั้งแบรนด์กิฟฟารีน และแพททรีนา ซึ่งกำลังเจรจากับดิสทริบิวเตอร์ 5 - 6 ประเทศ และยังมีอีกหลายประเทศที่ไม่ได้เซ็นสัญญาดิสทริบิวเตอร์ แต่มีการนำสินค้าไปจำหน่าย อาทิ รัสเซีย และเซาท์แอฟริกา ฯลฯ จากปัจจุบันส่งออกไป 30 ประเทศ ทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกา มีสัดส่วนรายได้ 5% และตั้งเป้าโต 200% ในแง่มูลค่า อีกทั้งการเปิดโรงงานใหม่ยังทำบริษัทรับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น
“จากวิกฤตการณ์ทางการเงินอเมริกาคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงของบริษัท แต่อาจกระทบต่อจิตวิทยาของผู้บริโภค ความมั่นใจลดลง ทำให้มีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยผลประโยชน์โดยอ้อม อาจทำให้ผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมเข้าสู่ระบบธุรกิจขายตรงมากขึ้น ขณะนี้เริ่มมีผู้ที่สนใจเป็นนักธุรกิจขายตรงจากเอสเอ็มอีมากขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ทำให้บริษัทกังวลยังคงเป็นสถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่งมากกว่าปัจจัยลบด้านอื่นๆ”
แพทย์หญิงนลินี กล่าวถึงแผนการตลาดในปีหน้าเพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยบริษัทจะโฟกัสนักธุรกิจ ผู้ประกอบการอิสระให้มากขึ้น พิจารณาสภาพแวดล้อมทั้งปัจจัยลบและบวก เพื่อปรับเปลี่ยนการทำตลาดได้อย่างรวดเร็วรองรับกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอด เช่น กรณีผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้สอย มุ่งเน้นการเปิดตัวสินค้าที่สอดคล้องกับกำลังซื้อ ลดสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูง และลดต้นทุนการผลิตด้วยการปรับแพกเกจจิง แต่ยังคงคุณภาพสินค้าไว้ โดยในปีหน้านี้บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโต 10%
สำหรับผลประกอบการของกิฟฟารีนในปีที่แล้ว ขายทั้งหมด 60 ล้านชิ้น คิดเป็นยอดขายได้ 3.9 พันล้าน เติบโตประมาณ 18 % และในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานมีอัตราการเติบโต 10.55%
พร้อมกันนี้ กิฟฟารีนยังได้วางแผนการตลาด สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์สองคนล่าสุด ที่เป็นผู้บริโภคตัวจริงของกิฟฟารีน คือ จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา และ อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ และยังมีแผนรุกตลาด และสร้างแบรนด์ด้วยการอัดฉีดโฆษณาประชาสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการอบรมนักธุรกิจกิฟฟารีนให้มีบุคลิกสอดคล้องกับแบรนด์อีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป้ารายได้มากกว่า 4,300 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ พร้อมทั้งจะผลักดันให้กิฟฟารีนบรรลุเป้ายอดขาย 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 15 - 20 % ได้ในอนาคตอันใกล้ พร้อมกับยอดสมัครสมาชิกที่พุ่งขึ้นมากกว่า 4.5 ล้านรหัส และยังเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์กิฟฟารีน เพื่อคงคอนเซ็ปต์ว่า “สินค้าแบรนด์ไทย ไม่แพ้ใครในโลก” เพราะทุกวันนี้ ความรู้และเทคโนโลยี เรียนทันกันทั้งโลกแล้ว ค่าเว็บไซต์ของฉัน
ที่มา: คอลัมน์ Movers & Shakers สุทธิณี มาพันธุ์ นิตยสาร Money and Wealth ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2551
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์(หมอต้อย) : Giffarine : ชีวิตที่ไม่ใช่นิยาย

เพลง มาร์ช ที่มีจังหวะและเนื้อหาเร้าใจของ บริษัทกิฟฟารีน ดังกระหึ่มขึ้นในห้อง มรกต โรงแรมอินทรา พร้อมๆกับสายตากว่าพันคู่พุ่งมองไปยังพ.ญ .นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการบริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ที่กำลังก้าวขึ้นสู่ เวทีและเริ่มต้นพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆแต่กระชับชัดเจน สะกดให้ทุกคนตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอพูดนานนับชั่วโมง
หญิงชายหลากหลายวัย ทั้งหมด 1,800 กว่าคนในห้องนั้นคือ “ดาว ดวง ใหม่” หรือสมาชิกใหม่ ที่ สนใจในธุรกิจขายตรงของสินค้าของกิฟฟารีน และเพิ่งเข้ามาร่วมกิจกรรมกับทางบริษัทเป็นครั้งแรก ช่วงเวลาที่ “หมอต้อย” กำลังพูดในหัวข้อ “สกายไลน์ ธุรกิจแห่งความสำเร็จในชีวิต” ในห้องประชุมอื่นๆบนชั้น 4 ของโรงแรมอินทรา อีกประมาณ 6 ห้อง ก็คลาคล่ำไปด้วยสมาชิกของกิฟฟารีนที่จะต้องเข้าเทรนนิ่งในหัวข้อต่างๆกัน เช่น ห้องพัฒนาผู้นำ ห้องเจาะลึกการตลาด ห้องผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ห้องทายาทธุรกิจกิฟารีน ห้องผลิตภัณฑ์อาหาร และห้องผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมทั้งหมดแล้วประมาณ1,800คน
ท่ามกลางผู้คนที่มากมาย วันนั้น หมอต้อยจำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดร่างใหญ่คอย เดินประกบรักษาความปลอดภัย ทั้งหมดเป็นกิจกรรม ที่จัดขึ้นฟรีเพื่อสมาชิก ทุกเย็วันอังคาร ที่โรงแรมแห่งนี้มานานต่อเนื่องกว่า10ปี
ในปี 2549 ที่ผ่านมา บริษัทก็ได้จัดงานครบรอบ 10 ปีครึ่ง ที่ศูนย์ประชุมไบเท็คบางนา ท่ามกลางผู้ร่วมงานเกือบ 2 พันคน เพื่อฉลองยอดขายตัวเลข 3 พันล้านบาท จากจำนวนสมาชิกที่ขยายถักทอออกไปราวกับใยแมงมุมถึง4ล้านเลขหมาย ซึ่งรวมไปถึงสมาชิกขายตรงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและฮ่องกงด้วย
ธุรกิจ MLM (Multi Level Marketing) หรือ Network Marketing นั้น หากย้อนหลังไปประมาณ 10-15 ปี คงยังไม่เป็นที่รู้จักนัก แต่ปีพ.ศ.นี้ หากมองจากผู้คนที่เข้ามาร่วมงาน จะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ได้ให้ความสนใจกับธุรกิจขายตรงมากขึ้น และเป็นผู้ชายมากขึ้น พร้อมๆกับความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มสุขภาพและความงามที่เพิ่มขึ้นด้วย
ในวัยเด็กหมอต้อยมาจากครอบครัวที่มีความสุข เป็นครอบครัวเล็กๆ ที่มี พี่น้อง 3คน คุณพ่อ คุณแม่รับราชการทั้งคู่ โดยคุณพ่อ คือพลอากาศตรีพิมล ไพบูลย์ ข้าราชการทหารอากาศ และผู้ช่วยศาสตราจารย์มณฑา ไพบูลย์ เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒิ ปทุมวัน
“ตอนเด็ก ๆ หมอเป็นเด็กไฮเปอร์ค่ะ”เธอย้อนอดีตให้ด้วยใบหน้า เปื้อนยิ้ม ซึ่งเป็นบุคลิกเด่นประจำตัวของเธอ
“ถ้าเป็นสมัยนี้พ่อแม่ และผู้ปกครอง อาจจะรู้ และมีวิธีการรักษาเช่นให้ยา แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ ๆ แต่ว่าทำไมหมอเป็นเด็กที่ซนมาก ไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เคยทำการบ้านเลย แต่เป็นเด็กหัวดี โชคดี ได้เจออาจารย์ท่านหนึ่งที่มีวิธีการที่ฉลาด คือบอกกับหมอว่า ถ้าหนูไม่ทำการบ้านแต่หนูสอบได้ที่ 1 คิดว่าเพื่อนๆ จะคิดอย่างไร เพื่อนๆก็จะมองว่า ขนาดคนที่ไม่ได้ทำงานไม่ทำการบ้านยังสอบได้ที่ 1 เลย แล้วเพื่อนจะทำการบ้านเหรอ แล้วถ้าเพื่อน เรียนหนังสือไม่เก่งอย่างหนู เขาจะเป็นอย่างไรต่อไป และอาจารย์ ยังจัดเพื่อนให้หมอรับผิดชอบ 2 คน คือคนที่เรียนหนังสือตกแล้วตกอีก โดยบอกว่าคราวนี้ ถ้าเพื่อนสอบไม่ผ่านจะปรับตกทั้ง 3 คนเลยนะ หมอเลยต้องขยัน ต้องตั้งใจเรียนเพื่อเอาไปช่วยสอนเพื่อน ด้วยกลัวเพื่อนสอบตก”
ด้วยกุศโลบายที่ชาญฉลาดของอาจารย์ ทำให้หมอต้อย เปลี่ยนไป สามารถสอบเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และ เข้าเรียนต่อในคณะแพทย์ศาสตร์ได้ตามที่คุณแม่คาดหวังไปเป็นน้องใหม่ของคณะที่มีหน้าตา จนรุ่นพี่ต้องให้เข้าไปช่วยงานกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเช่น เป็นตัวแทนทำหน้าที่อัญเชิญพระเกี้ยวในงาน ฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ประจำปี2521 เป็นตัวแทนของคณะประกวดนางนพมาศ และเป็นหน้าปกหนังสือสกุลไทย
ทั้งหมดน่าจะเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า หมอต้อย เป็นคนสวย ที่ฉลาด และเป็นคนดังคนหนึ่งในช่วงเวลานั้น และแม้วันนี้ วัย 48ปี ของเธอก็ยังสวย และดูดีมาก
หมอต้อย เลือกเรียนเฉพาะทางทางด้านสูตินารีแพทย์ที่โรงพยาบาลภูมิพล เธอทำคลอดเด็กมาแล้วหลายร้อยคน หลังจาการแต่งงาน เธอก็ยังทำหน้าที่เป็นหมอทำคลอด อยู่หลายปี จนต่อมาตัดสินใจเปิดคลินิกนอกเวลาเพื่อหารายได้เสริม แต่พบว่าในย่านห้วยขวางที่เป็นคลินิกแห่งแรกของเธอนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนไข้ที่ยากจน เลยมีความคิดว่า น่าจะเปลี่ยนจากคลินิกรักษาโรคทั่วไป เป็นคลีนิคที่รับปรึกษาเรื่องความงามด้วย เพื่อเอากำไรจากตรงนี้ไปช่วยเหลือคนจนได้บ้าง โดยเริ่มจากไปรับยาจากคุณหมอท่านอื่นมา ขายต่อหลังจากนั้นก็ คิดดัดแปลงสูตรเองเพื่อให้ได้คุณภาพยิ่งขึ้น ซึ่งก็ได้ผลดีมาก มีคนไข้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมีความคิดว่าน่าจะมีช่องทางการตลาดอย่างอื่นบ้างเลยไปติดต่อห้างสรรพสินค้า เพื่อจะนำสินค้าไปวางขาย
“หมอตกใจมากพอรู้ว่าต้องใช้เงินจำนวนมากหากจะเอาสินค้าไปวาง เช่นต้องมีค่าแรกเข้า ค่าโฆษณา และต้องมีสต๊อกสินค้าชัดเจน คิดแล้วเป็นเงินนับสิบล้านบาท แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมา พอดีมีเพื่อนแนะนำเรื่องวิธีขายตรง ก็เลยมาศึกษาช่องทางแบบขายตรง ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการกระจายสินค้าและบริการ ที่นำเอาส่วนต่างที่ไม่ต้องจ่ายให้กับห้างร้าน ปันผลให้กับคนที่มาทำหน้าที่ขายตรงแทน
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจขายตรงยี่ห้อแรกคือ “สุพรีเดอร์ม”ที่บุกเบิกกิจการร่วมกับอดีตสามี หลังจากนั้นเธอตัดสินใจลาออก จากงานประจำมา เรียนรู้การทำธุรกิจอย่างจริงจังไปพร้อมๆกับเรียนรู้นิสัยของคนไทย ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเวลา 9 ปี จนวันหนึ่งยอดรายได้เริ่มมั่นคง และบริษัทเติบโตมีชื่อเสียงมากขึ้น
“แต่หมอกลับมารู้ตัวว่า วันนั้นหมอกลับไม่เหลืออะไรเลย ประสบความสำเร็จเรื่องงานแต่หมอเอาครอบครัวไว้ไม่ได้ ” น้ำเสียงของเธออ่อนเบาลงเมื่อพูดถึงตรงนี้
หลังการหย่ากับสามี เธอมีเงินอยู่ประมาณ 100 ล้านบาท และมีหน้าที่เลี้ยงดูลูกสาวอีก 2 คน ที่กำลังเล็ก เธอบอกว่าช่วงนั้นเธอสับสน เครียดและวุ่นวายใจจนเคยคิดจะฆ่าตัวตาย
ภาพของลูกสาว 2 คน ที่กำลังน่ารักคือสิ่งผลักดันให้เธอยืนขึ้นสู้อีกครั้ง คราวนี้เธอเริ่มใหม่กับธุรกิจขายตรงอีกครั้ง กับแบรนด์ กิฟฟารีน ที่เอาชื่อมาจากลูกสาวคนโต“น้องกิ๊ฟ” เด็กหญิงสิริอร ที่วัยนี้มี อายุ 15ปี และน้อง ฟ้า เด็กหญิงพิชชาอร อายุ 12 ปี
เงิน100 ล้านบาท ตั้งใจไว้ว่าจะเหลือไว้ให้ลูก 2คน 10 ล้านบาทเผื่อทำธุรกิจไม่ประสบสำเร็จลูก ๆ ก็ยังมีเงินเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องเอามาลงทุนในการซื้อที่ดิน สร้างโรงงงาน และศูนย์จำหน่ายในช่วงเปิดตัวอีก8 แห่ง และเมื่อเธอเปิดกระเป๋าอีกครั้งพบว่ามีเงินอยู่ในบัญชีเพียง 500 บาทเท่านั้น
เป็นการเริ่มทำธุรกิจครั้งใหม่โดยมี ชีวิตเป็นเดิมพัน คราวนี้ไม่มีคู่ชีวิตอยู่เคียงข้างเหมือนเคย มีเพียงการทำงานที่หนักขึ้น ๆ ด้วยความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว
วันที่ 17 มีนาคม 2539 บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้เปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการท่ามกลางเศรษฐกิจที่กำลังโตเต็มที่ ปีแรกบริษัทมีผลประกอบการที่ 384 ล้านบาท ปีที่สองฟองสบู่แตกกระจาย แต่รายได้ของบริษัทกลับพุ่งพรวดไปถึง1,600 ล้านบาท หลังจากนั้นบริษัทก็มีอัตราการเติบโตอยู่ที่อัตรา10 กว่า เปอร์เซ็นต์ทุกปี
ปีไหนเศรษฐกิจไม่ดีจะสร้างโอกาสให้ธุรกิจขายตรงทันที แม้กำลังซื้อของคนจะลด คนซื้อของน้อยลง แต่กลับมีคนมาร่วมงานมากขึ้นช่องทางการขาย และเม็ดรายได้ก็เพิ่มขึ้นตาม
“จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เราไม่มีอุปสรรคนะคะ เรามีมาตลอดทาง เหนื่อยมากเพราะเป็น สินค้าเปิดใหม่ แบรนด์ ของสินค้ายังไม่เป็นที่รู้จัก และยังเป็นของคนไทยด้วย ความเชื่อมั่นไม่มีก็ต้องสร้างกำลังใจให้กับนักขายค่อนข้างมาก ปีแรกเรามีปัญหาเรื่องการโตเร็ว แต่แย่มากๆตรงที่เรา เตรียมสินค้าไม่ทัน แต่ในที่สุดก็ลุล่วงไปได้ ส่วนตัวหมอเองก็ยอมรับว่าช่วงนั้น หมอต้องทุ่มเทกว่าใครๆ ”
จากสินค้าเพียงไม่กี่รายการ เพิ่มเป็น 2 พันรายการในปัจจุบั นครอบคลุมสินค้าหลัก 4 หมวดใหญ่คือ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกายจำนวน 70 เปอร์แซ็นต์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 20เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์ อื่นๆ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยมีแนวโน้มของสินค้าอาหารเสริม เติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ ในขณะเดียวกันสินค้าสำหรับผู้ชายที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปียังไม่ได้เติบโตมากนัก ส่วนยอดขายเพิ่มสูงถึง 2,890 ล้านบาทในปี 2548 และคาดว่าไม่ต่ำ3,000ล้านบาทในปี 2549
หลายคนอาจจะมองว่าวันนี้เธอหยุดตัวเลขไม่ได้แล้วต้องไล่ล่าสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอได้ ชี้แจงว่า
“สำหรับหมอ ๆ พอมาตั้งแต่เปิดบริษัท แล้วไม่ใช่ รวยนะ แต่เรารู้ว่าตอนเรามีความทุกข์ เงินก็ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุข แต่ที่เราหยุดไม่ได้ เพราะพันธะสัญญาที่ได้ให้ไว้กับสมาชิก
เพราะ สัญญาที่ว่าหากสมาชิก มาอยู่ตรงนี้ ต้องมีรายได้ที่ดี ต้องมีความภูมิใจมีเกียรติ์ มีศักดิ์ศรี ทุกคนได้ฝากความหวังไว้ ดังนั้นบริษัทจะต้องเติบโตเพื่อให้สมาชิกประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการ ทุกอย่างเราเลยเหมือนหยุดไม่ได้ ที่จริงเราไม่ได้มองคู่แข่งเลยนะว่าเราจะเป็นที่เท่าไหร่ แต่ เราต้องให้คนที่มาอยู่กับเราได้รับในสิ่งที่เขาคาดหวัง คนมาใหม่ต้องการรายได้ใหม่ คน เก่าต้องการรายได้ที่มากขึ้น ถ้าเราไม่โต เราจะเอาที่ไหนมาให้”
หมอต้อยรู้ดีว่า สมาชิกของเธอ เป็นคนไทยที่ไม่ได้มีวิญญาณของนักขายอยู่ในสายเลือด ทางบริษัทเลยเน้นว่า เป็นการ เชิญชวนคนไทยให้มาเป็นผู้บริโภค มาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ แล้วให้เขาสร้างเครือข่ายของผู้บริโภค โดยเอากำไรต่อชิ้นต่ำแต่เน้นจำนวนจำนวนยอดขายที่ต้องสูง
“ระบบเทรนนิ่งของเราก็จะไม่เหมือนใคร เป็นระบบที่หมออยู่กับคนไทยมา 23 ปี และสรุปได้ว่า นี่ คือคนไทย ต้องสอนกันอย่างนี้”
“ไม่เหนื่อย หรอกค่ะ” หมอต้อยย้ำเสียงใส เมื่อดูเหมือนว่าวันๆหนึ่งเธอต้องทำงานเยอะมาก ไม่มีวันหยุดแม้วัน เสาร์ อาทิตย์
“โชคดีหมอบ้านอยู่ใกล้ออฟฟิศ ถ้าวันไหนไม่ไปงาน ก็กลับไปอยู่กับลูกได้เร็ว ทานข้าวเสร็จ ก็เซ็นเอกสารอยู่ที่บ้าน ดูทีวี ออกกำลังกายด้วยการถีบจักรยานที่ถือว่าเรื่องนี้เป็นวินัยเลยที่ต้องทำให้ได้ทุกวันๆละ1ชั่วโมง
แม้วันนี้โครงสร้างของบริษัท เข้มแข็งพอ แต่หมอต้อยก็ยังพอใจที่จะเดินสายไปเยี่ยมเยียนสมาชิกในจังหวัดต่างๆ เป็นงานที่เธออยากทำ ที่จะได้ ไปสร้างขวัญกำลังใจ ไปเจอไปพูดคุยกับ สมาชิก นอกจากเรื่องงานแล้ว เวลาทั้งหมดที่เหลือเธอมอบให้สมาชิกสำคัญ 2คนที่บ้าน
น้อง กิฟท์ “สิริอร” อายุ15 ปี เริ่มเป็นวัยรุ่น เธอบอกว่าลูกมีความรับผิดชอบมากกว่าแม่ในวัย เดียวกัน ส่วนน้อง ฟ้า “พิชชาอร” อายุ12 ปี เป็นโรคออทิสติกส์ ตั้งแต่วัย 3 ขวบ เลยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ถ้ามองกันอีกมุมหนึ่งเธอ บอกว่า น้องฟ้าเป็นเด็กโชคดี เพราะคนเป็นโรคนี้จะมองคนอื่นในแง่ดี มาตรฐานความสุขของเขาจึงอาจ น้อยกว่าคนทั่วไป
หากชีวิตของเธอเป็นเหมือนนิยายเรื่องนี้คงจบลงแล้วด้วยความสุข ๆ แต่เมื่อไม่ใช่ วันนี้ชีวิตของเธอก็เลยยังคงต้องดำเนินต่อไป
ที่มา: http://www.marketeer.co.th/inside_detail.php?inside_id=5056

http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

มือบริหารขายตรง''กิฟฟารีน'' พ.ญ. นลินี ไพบูลย์

เธอได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมการขายตรงไทย ( TDSA ) เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2549 ที่ผ่านมา
และยังเป็น 1 ใน 10 ของนักธุรกิจสตรีไทยที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง นักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2549
พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด หรือ หมอต้อย ผันชีวิตจากอดีตหมอสูตินารี มาเป็นนักธุรกิจขายตรงระดับพันล้าน โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี หลังจากการเปิดคลินิกนอกเวลาแห่งแรกที่ย่านห้วยขวางและได้เปลี่ยนจากคลินิกรักษาโรคทั่วไป มาเป็นคลีนิครับปรึกษาเรื่องความงาม เธอเริ่มจากการรับยาจากหมอท่านอื่นมาขายต่อรวมทั้งดัดแปลงสูตรเพื่อให้คุณภาพ จนเมื่อมีลูกค้าให้การตอบรับมากยิ่งขึ้น จึงได้คิดขยับขยายช่องทางการตลาด และนับเป็นจุดเริ่มของเธอ
ช่วงแรกหมอตั้งใจจะขายไปสู่ช่องทางขายปลีก แต่เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่นหากจะเอาสินค้าไปวาง เช่นต้องมีค่าแรกเข้า ค่าโฆษณา และต้องมีสต๊อกสินค้าชัดเจน คิดแล้วเป็นจำนวนเงินนับสิบล้านบาท แล้วเราจะเอาเงินมาจากไหน แต่หลังจากที่ได้คำแนะนำเรื่องการขายตรงจากเพื่อน เธอพบว่าวิธีนี้นอกจากจะเป็นการช่วยกระจายสินค้าและบริการ ส่วนต่างที่ไม่ต้องจ่ายให้กับห้างร้าน ยังมาเป็นเงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้ทำหน้าที่ขายตรงแทน จึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ โดยร่วมกับสามี บุกเบิกธุรกิจขายตรงในชื่อว่า สุพรีเดอร์ม
ศึกษาและทำอย่างจริงจังนานอยู่ 9 ปี แต่หลังจากเลิกกับสามี หมอต้อยจึงได้แยกออกสร้างอาณาจักรธุรกิจขายตรง ในชื่อว่า กิฟฟารีน ด้วยเงินทุนที่ติดตัวมาขณะนั้น 100 ล้านบาท
เพียงปีแรกกิฟฟารีนก็ทำเป้ายอดขายทะลุ 348 ล้านบาท จนสินค้าขาดตลาดไม่พอจำหน่าย ก่อนจะไต่สู่ยอดขายระดับพันจนมาเป็น 2,600 ล้านบาทในปี 2547 และ, 2,890 ล้านบาท ในปี 2548 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 10.5% และในปี 2549 คาดว่าจะขายได้ตามเป้าจากที่วางไว้16% ในจำนวน 3,300 ล้านบาท โดยบริษัทเพิ่งฉลองยอดขายทะลุ 3,000 ล้านบาท เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาหรือหลังจากที่บริษัทตั้งมาได้ 10 ปีเศษ
ความสำเร็จของกิฟฟารีน มาจากการวางโมเดลธุรกิจของความต่าง ( differentiation )ที่โดนใจ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งการวางโปรดักซ์และบริการที่เข้าถึง-ครอบคลุมทุกเป้าหมาย อันเนื่องจากการให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลลูกค้า และการทำตลาดในเชิงบูรณาการ ผ่านการซื้อขายทางอินเตอร์เน็ท หรือการตั้งแผนกR&D นำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้กับกระบวนการผลิต เพื่อให้ราคาปลายทางเป็นที่ยอมรับของลูกค้า
แต่เหนืออื่นนั้น ก็คือการที่เธอสามารถบริหารโครงข่ายใยแมงมุม ตัวแทนขายตรงที่มีมากถึง 4.08 ล้านคน
พ.ญ.นลินีเคยกล่าวว่า ความจริงแล้วในด้านวัตถุดิบ คุณภาพและราคากิฟฟารีนไม่ได้แตกต่างไปจากสินค้าในตลาดเลย แต่ที่ให้ความสำคัญ ก็คือผลตอบแทนที่จ่ายให้กับฝ่ายขาย ซึ่งได้เอางบประมาณการตลาด ค่าใช้จ่ายในช่องทางขายปลีกมาจ่ายคืนกลับไปแก่ตัวแทนขายสินค้า เพราะเราถือว่าคนเหล่านี้เป็นหุ้นส่วน มีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายผู้บริโภค จึงมีส่วนในการรับรู้ทั้งรายได้ผลประกอบการ กำไรและค่าใช้จ่ายต่าง ๆของบริษัท ที่อยากให้แฮปปี้กับการทำงานกัน
และการเพิ่มเครือข่ายขายตรง ที่เห็นชัดอีกทางก็คือการสื่อผ่านโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาในชุด เรียนหนังสือสูงแล้วมาทำงานนี้จะเหมาะกับหรือเปล่า, ชุดคนที่มีความรู้น้อยจะทำงานนี้ได้ไหม หรือชุดเจ้าของกิจการมาทำงานตรงนี้ก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของกิจการได้เหมือนกัน เพื่อสื่อว่าคนมีงานประจำหากรู้จักแบ่งเวลาหรือคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการเสี่ยง ก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการโดยอาศัยความสามารถของตัวเอง
ปัจจุบันกิฟฟารีนมีสมาชิกร่วม 4.08 ล้านคน แบ่งเป็นแม่ทีมที่ทำธุรกิจ จริง ๆ ถึง 3 แสนคน เทียบจากปีแรกที่มีสมาชิกขายตรงเพียง 5,000 คน พร้อมโรงงานแห่งใหม่ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ แลบบอราทอรี่ แอนด์ เฮลท์แคร์ จำกัด ซึ่งเธอบอกว่าสร้างไว้ก็เพื่อให้เป็นบ้านของสมาชิก ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหารตัวจริงของบริษัท.
ไม่แปลกว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้กิฟฟารีน รุดพรวดด้วยยอดขายทยานกว่า 3,000 ล้านบาท ที่มา : http://news.sanook.com/economic/economic_65731.php

http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ นักขายตรงหมื่นล้าน

กิฟฟารีน (Giffarine) ภายใต้การบริหารของ ? พ.ญ.นลินี ไพบูลย์? ด้วยแนวคิด และวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ จนวันนี้แบรนด์ ?กิฟฟารีน? สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Mass สร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยที่มาแรง สามารถชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่างน่าจับตามอง ชื่อของ ?พ.ญ.นลินี? จึงกลายเป็นแบรนด์ของผู้หญิงเก่ง ที่ไม่มีนักธุรกิจคนไหนที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเธอ
ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่วันหนึ่งต้องหย่าร้าง และเลี้ยงลูกเพียงลำพัง อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนนั้นหมดหวัง แต่สำหรับ ?พ.ญ.นลินี ไพบูลย์? ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ตรงกันข้าม จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งนั้นทำให้พลังของ ?พ.ญ นลินี? ล้นเหลือกว่าที่หลายคนคิด
เข้าถึงใจลูกค้า
?พ.ญนลินี? รู้ว่าคุณสมบัติความเป็นแพทย์ และประสบการณ์จากการเปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไป และผิวหนัง บวกกับประสบการณ์ธุรกิจขายตรงในแบรนด์ ?สุพรีเดอร์ม? เมื่อครั้งยังไม่ได้หย่าจากสามี เพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานให้ ?หมอนลินี? หรือ ?หมอต้อย? รู้ความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยรับผิดชอบหรือทำธุรกิจด้วยตัวเอง เส้นทางนักธุรกิจของพ.ญ.นลินี จึงดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้ยิ่งต้องค้นหาความรู้ทั้งจากตำรา และการเข้าชั้นเรียนเพื่อเสริมความรู้ด้านธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
แม้ในช่วงแรกจะมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้างอยู่บ้าง เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มถดถอยก่อนปี 2540 ซึ่งเป็นการยากที่แบรนด์ใหม่จะแจ้งเกิดในตลาด แต่เสียงความมุ่งมั่นของพ.ญ.นลินีดังกว่า
ทุกคนต้องการ ?ความสวยงาม? และ ?ความมั่นคง? ของชีวิต คือคำตอบที่เข้าถึงความรู้สึกคนทุกคนมากที่สุด จากจุดนี้จึงต่อยอดให้ ?กิฟฟารีน? แบรนด์ขายตรงที่ ?พ.ญ.นลินี? สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 2538 ยืนได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยในปี 2540 พังครืนจากค่าเงินบาทลอยตัว และคนว่างงานกันมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขายตรงเป็นทางออกของบางคนในช่วงนั้น
หาจุดต่างแจ้งเกิด
ด้วยความที่กิฟฟารีนเป็นสินค้าแบรนด์ไทย ขณะที่มีสินค้าแบบเดียวกันเป็นแบรนด์จากต่างประเทศทำตลาดอยู่มาก สนามที่พ.ญ.นลินีต้องลงแข่งขันจึงไม่ธรรมดา โจทย์ที่ต้องหาคำตอบ คือการหาจุดต่าง
การใช้จุดต่าง (Differentiation) ในการวาง Positioning ของสินค้า เป็นสูตรที่หลายๆ สินค้าและบริการนำมาใช้เสมอ ?กิฟฟารีน? ก็เช่นกันที่ต้องหาจุดต่าง และเนื่องจากเป็นธุรกิจขายตรง จุดต่างจึงต้องมีใน 2 ส่วน คือผลิตภัณฑ์ที่เสนอต่อลูกค้า และระบบบริหารเครือข่าย
พ.ญ.นลินีบอกว่า ?ความเป็นหมอสอนไว้ว่า ไม่ให้เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อต้องเริ่มต้นบอกกับลูกค้า กิฟฟารีนเลือกวิธีชี้แจงส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ ทำให้ไม่มีข้อโต้แย้งได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนต่างจากแบรนด์อื่น?
ส่วนความต่างที่ให้กับสมาชิกเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายจำนวนมาสมาชิกที่ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า คือ นอกจากให้ส่วนแบ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแล้ว ยังให้ความรู้สึกแก่สมาชิกว่าเป็นเสมือนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สามารถรับรู้รายจ่าย รายได้ของบริษัทอีกด้วย
สูตรบริหาร
หากถามถึงหลักการทำงานแล้ว พ.ญ.นลินีบอกว่ามี 2 หลักใหญ่ หลักการแรกคือความระมัดระวัง เมื่อมีข้อผิดพลาด ให้เร่งหาสาเหตุโดยเร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุด
?เมื่อเราไม่ได้มีพื้นฐานทางธุรกิจมาก่อน เวลาทำก็ต้องบริหารจัดการงานด้วยความระมัดระวัง เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราเริ่มกิจการจากกิจการเล็กๆ เริ่มต้นจากศูนย์ จึงต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ เติบโต เรียนรู้ปัญหา ข้อผิดพลาด เรียกได้ว่าเติบโตจากการเรียนผิดเรียนถูก ข้อบกพร่อง Trial and Error และต้องตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นต้องรีบแก้ไข หาสาเหตุให้เร็วที่สุด?
หลักการที่สองพ.ญ.นลินีใช้หลักจิตวิทยา ในการบริหารบุคลากร และเครือข่ายของกิฟฟารีน ด้วยหลักการคิดที่ว่าทำให้คนที่ทำงานด้วยมีความสุข เห็นใจซึ่งกันและกัน คิดถึงใจคนที่มาอยู่ด้วยกัน ให้เขาเติบโต และมีความเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน เติบโตไปด้วยกัน ไม่ Centralize ที่ตัวเอง ต้องรู้ว่าคนทำงานกับเรา เขาต้องการอะไรและรับฟังความคิดเห็นของเขา
ส่วนจะมีบ้างหรือไม่สำหรับพ.ญ.นลินีที่เกิดความรู้สึกท้อแท้ คำตอบโดยอัตโนมัติจากพ.ญ.นลินี คือไม่เคยท้อ ปัญหาที่เข้ามาถือเป็นความท้าทาย อุปสรรคที่เข้ามาต้องรีบคิดหาสาเหตุและแก้ไขให้ได้ ส่วนกำลังใจที่สำคัญคือมาจากครอบครัว และความที่ต้องรับผิดชอบต่อคนจำนวนมาก
สวยปิ๊งเสริมแบรนด์
เมื่อเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามและสุขภาพ พ.ญ.นลินีบอกว่าการวาง Positioning ตัวเองเพื่อให้สะท้อนแบรนด์สินค้าเป็นสิ่งจำเป็น
?บุคลิกเราเป็นแบรนด์เหมือนกัน ธุรกิจเราต่างจากธุรกิจค้าปลีก Consumer Product ทั่วไป เราต้องแสดงความเป็นธุรกิจขายตรง และเครือข่าย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตัวเราเป็นจะบ่งบอกถึงสินค้าของเรา เมื่อเราเป็นธุรกิจขายตรงให้ความจริงใจกับสมาชิกและลูกค้า เพราะฉะนั้นเวลาพูดกับใครต้องชัดเจน ตัวเองก็เป็นคน Clear อยู่แล้ว และที่สำคัญต้องใช้ Prodcut ของตัวเอง?
จึงเป็นภาพที่พบเห็นเสมอสำหรับ ?พ.ญ.นลินี? เมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนมักสวยปิ๊ง และเนี้ยบ แม้ชุดที่คุ้นตาที่สุดคือในชุดสูททำงานสุดเท่ แต่จริงๆ แล้วพ.ญ.นลินีบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบแต่งตัว บางครั้งก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เพียงแต่การแต่งกายในช่วงทำงาน หรือออกงานต่างๆ ก็ต้องให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ
ที่สำคัญคือ ไม่ได้เป็นคนที่ยึดติดว่าต้องใส่ชุดของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง สำหรับชุดที่สวมใส่ประจำเช่น Flynow และ G2000 ซึ่งความลงตัวตลอดเวลานั้น ทั้งหมดเป็นฝีมือเลือก และแต่งด้วยตัวเองของพ.ญ.นลินี โดยไม่จำเป็นต้องมีดีไซเนอร์มาช่วยจัดให้แต่อย่างใด
ส่งพลังลุยปี2008
ปี 2007 สำหรับกิฟฟารีนแล้วทั้งจากยอดขายที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญพ.ญ.นลินีได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 ของนักธุรกิจไทย จากทั้งหมด 15 คนทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2007 (Leading Women Enterpreneurs of the World 2007) ซึ่งพ.ญ.นลินีบอกว่าถือเป็นช่วงสำคัญของจังหวะชีวิตในปีนี้
จากจุดนี้ พ.ญ.นลินีบอกว่าผลงานในปี 2007 สะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าของธุรกิจกิฟฟารีน ในด้านความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นวัดจากผลประกอบการ เพราะรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลกซึ่งพิจารณาจากผลประกอบการของธุรกิจที่ทำอยู่ด้วย ส่วนที่สอง มองว่าคนไทยเริ่มเข้าใจแบรนด์ และมองธุรกิจกิฟฟารีนเป็นมิตรมากขึ้น
ผลที่งอกงามสำหรับพ.ญ.นลินีในปี 2007 มาจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นปีที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์สร้างให้ลูกค้ายอมรับนับถือแบรนด์กิฟฟารีนให้มากที่สุด ซึ่งนอกจากพ.ญ.นลินีจะบริหารธุรกิจด้วยตัวเองแล้ว ยังเป็นครีเอทีฟดูแลหนังโฆษณาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2006
แม้ ?กิฟฟารีน? จะไม่ได้ทำธุรกิจแบบเดียวกับแบรนด์ ?มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์? ของอังกฤษ ที่พ.ญ.นลินีเลือกเป็นแบรนด์ที่ชื่นชอบ ด้วยเหตุผลว่าเพราะมี Products ทุกอย่าง ลูกค้าที่เข้าไปซื้อของที่นี่จะซื้อด้วยความมั่นใจ เป็นแบรนด์ของคนทั่วโลก ที่น่าสนใจเพราะสามารถทำสำเร็จในการจับตลาด Mass ได้หมด
แต่การเข้าถึง Mass คือเป้าหมายเดียวกัน โดยเฉพาะปี 2008 ที่พ.ญ.นลินีวางแผนให้กิฟฟารีนมีผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสนองตอบลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม B ถึง C+ และให้ผู้ที่มาร่วมธุรกิจมีโอกาสเติบโตมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือให้แบรนด์กิฟฟารีนแข็งแรง เป็นที่ประทับใจของลูกค้าจำนวนมากเหมือนกัน
Profile
แบรนด์ : กิฟฟารีน ลักษณะธุรกิจ : ระบบธุรกิจขายตรง MLM (Multi Level Marketing) รายได้ : ปี 2549 - 3,400 ล้านบาท ปี 2550 - คาด 3,900 ล้านบาท รวม 11 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ สร้างยอดขายรวม 23,000 ล้านบาท งบการตลาด : ปี 2550 มูลค่า 60-80 ล้านบาท
Name : แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ Age : 48 ปี Education : มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แพทย์ศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวชวิทยา) Career Highlights : 2538-ปัจจุบัน ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ประธานกรรมการ โรงเรียนศิลปะศาสตร์การแต่งหน้า กิฟฟารีน
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

กิฟฟารีนผุดศูนย์ภูมิภาค รับตลาดขายตรงปีหน้าเฟื่อง

กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ เดินหน้าแผนการตลาดเข้ม ลงทุนเปิดศูนย์ธุรกิจเซ็นเตอร์ 6 แห่ง มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท รองรับจำนวนนักธุรกิจกิฟฟารีน ที่คาดว่า จะพุ่งขึ้นในปีหน้า เนื่องจากผู้บริโภคที่มากขึ้น และนักธุรกิจเครือข่ายต้องการรักษาความมั่นคงของรายได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวพ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโตแค่ 0-2% ประกอบกับความเสี่ยงของอัตราการจ้างงานที่มีแนวโน้มลดลง โดยจำนวนคนว่างงาน คาดว่า จะสูงถึง 2 ล้านคน ส่งผลให้ประชาชนมองหาอาชีพที่สองเพิ่มขึ้น ซึ่งการเข้ามาเป็นนักธุรกิจอิสระของธุรกิจขายตรงถือเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ กิฟฟารีนเองคาดว่าจะมีนักธุรกิจอิสระเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5-10% จากประมาณ 5 ล้านรหัส ในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมขายตรงโดยรวมที่จะมีนักธุรกิจอิสระเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันพ.ญ.นลินี ได้กล่าวถึงผลการสำรวจภาพรวมอุตสาหกรรมขายตรงโดย บริษัท ไทเลอร์ เนลสัน ซอฟเฟรส (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งร่วมกับสมาคมการขายตรงไทยด้วยว่า ผลสำรวจพบว่ามีถึง 73% ของกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คนเข้าสู่ธุรกิจขายตรงเพื่อหารายได้เสริม ขณะที่ 65% ของกลุ่มตัวอย่างเข้าสู่ธุรกิจเพื่อซื้อสินค้าไว้ใช้เอง เนื่องจากเชื่อในคุณภาพของสินค้าและราคาที่เหมาะสมกว่าสินค้าที่ขายทั่วไปสำหรับศูนย์ธุรกิจเซ็นเตอร์ที่เตรียมสร้างในปีหน้า จะมีรูปแบบที่ทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันให้กับนักธุรกิจ และผู้บริโภคที่สมัครเป็นสมาชิก ทั้งการสั่งซื้อสินค้า การให้บริการคำปรึกษาในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ และเป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและสัมมนาให้กับนักธุรกิจ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้สร้างศูนย์ธุรกิจดังกล่าวแล้วเสร็จไปแล้ว 5 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พิษณุโลก ศูนย์พหลโยธิน ศูนย์สุราษฎร์ธานี ศูนย์ขอนแก่น และศูนย์พระประแดง ประมาณ 80 ล้านบาท โดยมีโครงการจะเปิดศูนย์ธุรกิจที่บางแคและลำปางในช่วงต้นปีหน้า รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกิฟฟารีน มีศูนย์ธุรกิจเปิดให้บริการกว่า 95 สาขาทั่วประเทศการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนต่อ เนื่องจากปีนี้หลังจากที่กิฟฟารีนได้ลงทุนทั้งภาคการผลิตโดยการเปิดโรงงานแห่งใหม่มูลค่า 700 ล้านบาท ณ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ห้องทดลองกลาง (Central Lab) ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา (Research & Development Lab) ซึ่งมีหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ และภาคบริการโดยปรับปรุงและพัฒนาศูนย์ธุรกิจกิฟฟารีนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี 2551 ที่ผ่านมาสำหรับผลประกอบการรวมที่ผ่านมาของกิฟฟารีน ถึงปัจจุบัน มีประมาณ 30,000 ล้านบาท และได้มอบผลประโยชน์คืนกลับให้แก่นักธุรกิจกิฟฟารีนไปแล้วกว่า 14,000 ล้านบาท
ที่มา :www.manager.co.th
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/