กิฟฟารีน giffarine www.no-poor.com
ธุรกิจเสริม กิฟฟารีน
กิฟฟารีน ธุรกิจเสริม อาชีพเสริม รายได้เสริมออนไลน์ ปรึกษาเรา ตรวจสอบดวงชะตา ศึกษาพลังธาตุในตัวคุณ วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน ภาวะผู้นำและลักษณะงานที่เหมาะกับคุณ ก่อนเริ่มธุรกิจ-คุยกับเราที่ no-poor.com

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

กิฟฟารีน พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ กับภารกิจผลักดัน “กิฟฟารีน” ให้ถึงดวงดาว

ด้วยวัย 49 ปี พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ผลักดันให้ตัวเธอก้าวขึ้นมายืนอยู่ในฐานะนักธุรกิจหญิงแถวหน้าของเมืองไทยได้ในเวลาไม่นาน และ “กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้” ภายใต้การบริหารของเธอก็เป็นที่รู้จักของคนไทย ด้วยแนวคิด และวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ จนถึงวันนี้แบรนด์ “กิฟฟารีน” สามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลาย และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยที่มาแรง สามารถชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่างน่าจับตา
จากชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่กลายเป็น Single Mom เพราะเหตุหย่าร้าง และเลี้ยงลูกเพียงลำพัง อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนนั้นหมดหวัง แต่สำหรับ “พ.ญ.นลินี ไพบูลย์” ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กลับตรงกันข้าม เพราะเธอใช้จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งนั้น สร้างเป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตของเธอและครอบครัวไปได้ไกลกว่าที่หลายคนจะคาดคิด
หลังจากจบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา พ.ญ.นลินี ทำงานรับราชการเป็นสูตินรีแพทย์ ที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมการแพทย์ทหารอากาศ ในช่วงที่ทำงานรับราชการนั้น เธอดำเนินธุรกิจคลินิกรักษาคนไข้ทั่วไป และโรคผิวหนังซึ่งเธอมีความสนใจทางด้านนี้เป็นพิเศษ ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการขยายผลต่อเนื่องไปสู่การดำเนินธุรกิจ
เมื่อผสานคุณสมบัติความเป็นแพทย์ และประสบการณ์จากการเปิดคลินิกด้วยตัวเอง บวกกับประสบการณ์ธุรกิจขายตรงในแบรนด์ “สุพรีเดอร์ม” เมื่อครั้งยังไม่ได้หย่าจากสามี เพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานให้ “หมอนลินี” หรือ “หมอต้อย” ให้ทราบถึงความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยรับผิดชอบหรือทำธุรกิจด้วยตัวเอง เส้นทางนักธุรกิจของเธอจึงดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้ยิ่งต้องค้นหาความรู้ทั้งจากตำรา และการเข้าชั้นเรียนเพื่อเสริมความรู้ด้านธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
เธอเลือกธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อสุขภาพผิวที่ดี และอาหารเสริมประเภทต่างๆ และได้ตัดสินใจเริ่มเปิดดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ทั้งการผลิตและจำหน่าย โดยเป็นการจำหน่ายในแบบธุรกิจขายตรงและตั้งชื่อบริษัทโดยนำชื่อของบุตรสาว 2 คน น้องกิ๊ฟและน้องฟ้า มารวมเข้าเป็นชื่อ บริษัทกิฟฟารีน เมื่อปี 2538 จนถึงปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 และยังคงยืนหยัดได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะในวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท มีผู้คนว่างงานกันมากมาย ธุรกิจขายตรงนับว่าเป็นทางออกที่ดีของบางคนในช่วงนั้น
ถึงแม้จะศึกษาทางด้านแพทยศาสตร์ และรับราชการมาโดยตลอด แต่ด้วยหลักการตลาดและแนวคิดริเริ่มสร้างสรรรค์ในแบบของเธอ ที่นำมาปรับใช้กับธุรกิจ เป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีกับการตลาดยุคปัจจุบัน นั่นคือ “ความงาม” และ “ความมั่นคง”
นอกจากนี้บริษัท ฯ ได้เน้นเรื่องคุณภาพของสินค้าเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและบริโภคซ้ำได้ต่อเนื่อง นำมาซึ่งการดำเนินธุรกิจขายตรงที่มั่นคงและยั่งยืน เธอบอกว่า “ความเป็นหมอสอนไว้ว่า ไม่ให้เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อต้องเริ่มต้นบอกกับลูกค้า กิฟฟารีนเลือกวิธีชี้แจงส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ ทำให้ไม่มีข้อโต้แย้งได้ ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนจึงต่างจากแบรนด์อื่น”
ส่วนความต่างที่ให้กับสมาชิกเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายจำนวนสมาชิกที่ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า คือ นอกจากให้ส่วนแบ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแล้ว ยังให้ความรู้สึกแก่สมาชิกว่าเป็นเสมือนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สามารถรับรู้รายจ่าย รายได้ของบริษัทอีกด้วย
จนถึงวันนี้ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด บริษัทขายตรงสัญชาติไทยอันดับหนึ่ง ได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ที่นวนครมูลค่า 700 ล้านบาท ปูทางสู่การเป็นที่หนึ่งในตลาดขายตรง และรองรับการขยายงานในอนาคต โดยโรงงานแห่งนี้มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ ห้องทดลองกลาง (Central Lab) ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา (Research & Development Lab) มีหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ของกิฟฟารีน ซึ่งเป็นขั้นตอนของการค้นคว้าวิจัย และคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก ที่สำคัญวัตถุดิบเหล่านั้นจะต้องมีงานวิจัยทางการแพทย์รับรอง
โรงงานแห่งใหม่นี้มีกำลังการผลิต เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 เท่าตัว หรือประมาณ 20 ล้านชิ้นต่อเดือน เพื่อรองรับยอดจำหน่ายได้ถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี และรองรับกำลังการผลิตได้ ได้อีก 9-10 ปี ทั้งนี้จากการสร้างโรงงานดังกล่าว จะผลักดันให้ยอดขายกิฟฟารีนบรรลุเป้าหมาย 5,000 ล้านบาท ในปี 2553 หรือมีการเติบโต 15-20% อย่างต่อเนื่อง โดยมาจากการขยายธุรกิจภายในประเทศ ต่างประเทศ และการรับจ้างผลิต
การเปิดโรงงานครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุน ทั้งการทำตลาดภายในประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วน 95% ของรายได้ หรือการขยายตลาดต่างประเทศ ทั้งแบรนด์กิฟฟารีน และแพททรีนา ซึ่งกำลังเจรจากับดิสทริบิวเตอร์ 5 - 6 ประเทศ และยังมีอีกหลายประเทศที่ไม่ได้เซ็นสัญญาดิสทริบิวเตอร์ แต่มีการนำสินค้าไปจำหน่าย อาทิ รัสเซีย และเซาท์แอฟริกา ฯลฯ จากปัจจุบันส่งออกไป 30 ประเทศ ทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกา มีสัดส่วนรายได้ 5% และตั้งเป้าโต 200% ในแง่มูลค่า อีกทั้งการเปิดโรงงานใหม่ยังทำบริษัทรับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น
“จากวิกฤตการณ์ทางการเงินอเมริกาคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงของบริษัท แต่อาจกระทบต่อจิตวิทยาของผู้บริโภค ความมั่นใจลดลง ทำให้มีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยผลประโยชน์โดยอ้อม อาจทำให้ผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมเข้าสู่ระบบธุรกิจขายตรงมากขึ้น ขณะนี้เริ่มมีผู้ที่สนใจเป็นนักธุรกิจขายตรงจากเอสเอ็มอีมากขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ทำให้บริษัทกังวลยังคงเป็นสถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่งมากกว่าปัจจัยลบด้านอื่นๆ”
แพทย์หญิงนลินี กล่าวถึงแผนการตลาดในปีหน้าเพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยบริษัทจะโฟกัสนักธุรกิจ ผู้ประกอบการอิสระให้มากขึ้น พิจารณาสภาพแวดล้อมทั้งปัจจัยลบและบวก เพื่อปรับเปลี่ยนการทำตลาดได้อย่างรวดเร็วรองรับกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอด เช่น กรณีผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้สอย มุ่งเน้นการเปิดตัวสินค้าที่สอดคล้องกับกำลังซื้อ ลดสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูง และลดต้นทุนการผลิตด้วยการปรับแพกเกจจิง แต่ยังคงคุณภาพสินค้าไว้ โดยในปีหน้านี้บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโต 10%
สำหรับผลประกอบการของกิฟฟารีนในปีที่แล้ว ขายทั้งหมด 60 ล้านชิ้น คิดเป็นยอดขายได้ 3.9 พันล้าน เติบโตประมาณ 18 % และในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานมีอัตราการเติบโต 10.55%
พร้อมกันนี้ กิฟฟารีนยังได้วางแผนการตลาด สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์สองคนล่าสุด ที่เป็นผู้บริโภคตัวจริงของกิฟฟารีน คือ จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา และ อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ และยังมีแผนรุกตลาด และสร้างแบรนด์ด้วยการอัดฉีดโฆษณาประชาสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการอบรมนักธุรกิจกิฟฟารีนให้มีบุคลิกสอดคล้องกับแบรนด์อีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป้ารายได้มากกว่า 4,300 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ พร้อมทั้งจะผลักดันให้กิฟฟารีนบรรลุเป้ายอดขาย 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 15 - 20 % ได้ในอนาคตอันใกล้ พร้อมกับยอดสมัครสมาชิกที่พุ่งขึ้นมากกว่า 4.5 ล้านรหัส และยังเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์กิฟฟารีน เพื่อคงคอนเซ็ปต์ว่า “สินค้าแบรนด์ไทย ไม่แพ้ใครในโลก” เพราะทุกวันนี้ ความรู้และเทคโนโลยี เรียนทันกันทั้งโลกแล้ว ค่าเว็บไซต์ของฉัน
ที่มา: คอลัมน์ Movers & Shakers สุทธิณี มาพันธุ์ นิตยสาร Money and Wealth ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2551
http://www.no-poor.com/
http://www.up-toyou.net/

ไม่มีความคิดเห็น: