กิฟฟารีน giffarine www.no-poor.com
ธุรกิจเสริม กิฟฟารีน
กิฟฟารีน ธุรกิจเสริม อาชีพเสริม รายได้เสริมออนไลน์ ปรึกษาเรา ตรวจสอบดวงชะตา ศึกษาพลังธาตุในตัวคุณ วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน ภาวะผู้นำและลักษณะงานที่เหมาะกับคุณ ก่อนเริ่มธุรกิจ-คุยกับเราที่ no-poor.com

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แรงงานไทยปี 2552 ... เลิกจ้าง 200,000 คน รายได้ลดประมาณ 10,000 ล้านบาท

ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ ระหว่างปี 2552 คงประสบปัญหาในการหาตำแหน่งงาน ซึ่งจะทำให้อัตราการว่างงานของไทยพุ่งขึ้นจากร้อยละ 1.4 และร้อยละ 2.4 ในเดือนมกราคม 2552 เข้าหาระดับร้อยละ 4.5-5.9 ตอนสิ้นปี 2552 สูงกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอลง และมีการลดการจ้างงานไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ นอกจากแรงงานในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างงานแล้ว ยังมีแรงงานไทยในต่างประเทศอีกประมาณ 5.17แสนคนในปี 2551 ที่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทั่วทุกภูมิภาคของโลก และปัญหาการว่างงานที่ยังคงเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้ความต้องการแรงงานจากต่างประเทศลดลง
สำหรับแนวโน้มแรงงานไทยในต่างประเทศปี 2552 อาจชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจำนวนแรงงานไทยทั้งหมดในต่างประเทศ น่าจะลดลงจากปีก่อนที่คาดว่ามีประมาณ 5.17 แสนคน เนื่องจากจำนวนแรงงานที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง ขณะเดียวกันอาจมีแรงงานไทยในต่างประเทศที่เดินทางกลับประเทศเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องจากยังมีปัจจัยลบที่จะยังกดดันภาวะการทำงานในต่างประเทศของแรงงานไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัญหาที่สืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก
ซึ่งทำให้เป็นที่คาดหมายว่าเศรษฐกิจโลกอาจมีแนวโน้มถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจโลกอาจหดตัวลงมากกว่าที่ IMF ได้คาดการณ์ไว้ล่าสุดว่าจะหดตัวลงประมาณร้อยละ 0.5-1.0 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศปลายทางที่สำคัญของแรงงานไทย ก็คาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงแรงเช่นกัน ซึ่งย่อมจะหมายถึงปัญหาการว่างงานในประเทศเหล่านั้น ที่คงจะทวีความรุนแรงขึ้นอันอาจนำมาสู่การกำหนดมาตรการและเพิ่มเงื่อนไขการจ้างงานเพื่อลดจำนวนแรงงานต่างชาติ ท้ายที่สุดแล้ว คงจะมีผลต่อเนื่องให้ความต้องการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ รวมถึงแรงงานไทยลดลงตามไปด้วย
ภายใต้มุมมองดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า แรงงานที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศในปี 2552 อาจจะมีจำนวน 152,303-159,748 คน ลดลงประมาณร้อยละ 1.3-5.9 โดยเป็นการติดลบมากขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ 0.04 ในปี 2551 และอาจจะทำให้มีแรงงานไทยเดินทางกลับประเทศเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนแรงงานไทยทั้งหมดในต่างประเทศในปีนี้ อาจมีจำนวน 4.69 แสนคน ลดลงร้อยละ 9.2 จากที่คาดว่าน่าจะมีประมาณ 5.17 แสนคนในปี 2551
สำหรับผลกระทบที่จะตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจะส่งผลให้รายได้ส่งกลับของแรงงานไทยในต่างประเทศอาจลดลงประมาณร้อยละ 8.3-15.8 จากจำนวน 6.3 หมื่นล้านบาทในปี 2551 ทำให้รายได้หายไปประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งการลดลงของรายได้ส่งกลับฯ ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อจีดีพีประมาณร้อยละ 0.06-0.11 และเป็นอีกปัจจัยถ่วงให้ดุลบริการ เงินโอน และบริจาค มีโอกาสเกินดุลลดลง จากปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2552 ที่คาดว่าจะหดตัวลง คงจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงตามไปด้วย
ข้อจำกัดของตลาดแรงงานต่างประเทศดังกล่าว ยังคาดว่าจะมีผลซ้ำเติมปัญหาการว่างงานในประเทศ โดยเฉพาะจากแรงงานไทยที่มีโอกาสถูกเลิกจ้างและเดินทางกลับประเทศสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 2 แสนคน ผลที่ตามมาก็คือ อัตราการว่างงานในประเทศมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 0.3 จากสิ้นปี 2551 ที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 1.4 และเมื่อผนวกกับปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่นำมาสู่การปรับลดกำลังการผลิตและลดจำนวนคนงาน
รวมถึงผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ในช่วงระหว่างปี 2552 ที่คงจะประสบปัญหาในการหาตำแหน่งงานเช่นกันนั้น คงจะทำให้อัตราการว่างงานของไทยพุ่งขึ้นจากระดับร้อยละ 1.4 ณ สิ้นปี 2551 และร้อยละ 2.4 ในเดือนมกราคม 2552 เข้าหาระดับร้อยละ 4.5-5.9 ณ สิ้นปี 2552 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าสมัยช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ที่ผลักดันให้อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นไปแตะร้อยละ 4.4 ในปี 2541
เป็นที่น่าสังเกตว่าแรงงานไทยที่เดินทางกลับประเทศดังกล่าว ยังเป็นกลุ่มที่ขาดหลักประกันทางสังคม
ขณะเดียวกัน ก็อาจต้องประสบกับภาระหนี้สินที่ต้องชดใช้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากคนงานไทยที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศส่วนใหญ่มักจะกู้ยืมเงินมาใช้เพื่อการเดินทาง ดังนั้น ภาครัฐจึงอาจต้องหามาตรการเพื่อรับมือและช่วยเหลือแรงงานกลุ่มนี้ด้วย เพื่อป้องกันปัญหาสังคมที่อาจจะตามมา
ที่มา:http://www.ess.co.th/id_board.php?qid=752

http://www.no-poor.com/

แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง 2552


ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ธุรกิจส่วนใหญ่ประสบกับภาวะชะลอตัว บางธุรกิจมีทิศทางถดถอยตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดส่งออกในสัดส่วนที่สูง เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ขณะที่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น เหล็ก ข้าว ยางพารา ก็ได้รับผลกระทบทั้งจากอุปสงค์ที่หดตัวและราคาที่ตกต่ำลงอย่างมาก ส่วนสินค้าที่ขึ้นอยู่กับกิจกรรมด้านการลงทุน เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและอุปกรณ์ ต่างหดตัวลงตามภาวะการลงทุนของประเทศ สำหรับในภาคบริการ หลายธุรกิจประสบปัญหา โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมและสายการบิน ที่เผชิญมรสุมหลายด้านทั้งวิกฤตเศรษฐกิจโลกถดถอย ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ และการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และจากปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบรุนแรงในวงกว้างนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจที่พึ่งพาตลาดผู้บริโภคในประเทศ อย่างเช่น ตลาดรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนธุรกิจค้าปลีกด้วยเช่นกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์สถานการณ์ของธุรกิจไทย และแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
จุดเริ่มของการฟื้นตัว … ภาพที่แตกต่างในแต่ละธุรกิจแม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดไปแล้วในไตรมาสที่ 1/2552 ที่จีดีพีของประเทศหดตัวลงถึงร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นความถดถอย (รายไตรมาส) ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจโดยรวมแล้วบ่งชี้การปรับตัวดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แม้จะยังเป็นภาวะที่เศรษฐกิจหดตัว แต่ก็มีอัตราลบที่ชะลอลง อย่างไรก็ตาม ภาพของแต่ละธุรกิจนั้นมีความแตกต่างกันไป บางธุรกิจเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว แต่บางธุรกิจก็ยังคงเผชิญปัญหาที่หนักหน่วง โดยภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน มีทิศทางที่สำคัญ ได้แก่
 การกลับมาสะสมสินค้าคงคลัง (Restocking) ของผู้ผลิตในต่างประเทศ อุตสาหกรรมส่งออกบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีทิศทางดีขึ้นโดยหดตัวในอัตราที่ชะลอลงในไตรมาสที่ 2/2552 ที่มา :http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=loykratong&month=11-07-2009&group=4&gblog=212

http://www.no-poor.com/

ยูทูบ (YouTube)

จะเลิกสนับสนุนผู้ใช้บราวเซอร์ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ 6 (Internet Explorer 6) ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในโลกเทคโนโลยีของเว็บที่เร็วขึ้นทุกวัน ทำให้นักพัฒนาของยูทูบไม่สามารถซัพพอร์ตเว็บบราวเซอร์รุ่นเก่าอย่าง IE6 ได้อีกต่อไป
ก่อนหน้านี้เว็บไซต์สายพันธุ์ WEB 2.0 อย่าง Digg ก็ได้ประกาศแผนเลิกซัพพอร์ต IE 6 ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ผู้ใช้ IE6 สร้างแทรฟฟิกให้กับทางเว็บไซต์ประมาณ 5% และมีแค่ 1% ที่โพสต์ข่าว โหวต และคอมเมนต์ ซึ่งไม่คุ้มกับการพัฒนาที่ยังต้องซัพพอร์ตผู้ใช้บราวเซอร์กลุ่มนี้ต่อไป
ก่อนหน้านี้เว็บไซต์สายพันธุ์ WEB 2.0 อย่าง Digg ก็ได้ประกาศแผนเลิกซัพพอร์ต IE 6 ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ผู้ใช้ IE6 สร้างแทรฟฟิกให้กับทางเว็บไซต์ประมาณ 5% และมีแค่ 1% ที่โพสต์ข่าว โหวต และคอมเมนต์ ซึ่งไม่คุ้มกับการพัฒนาที่ยังต้องซัพพอร์ตผู้ใช้บราวเซอร์กลุ่มนี้ต่อไป ล่าสุด Google ได้ตัดสินใจที่จะเลิกซัพพอร์ตผู้ใช้ที่เยี่ยมชม YouTube ด้วย IE6 เช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้ IE6 อ้างว่า พวกเขาได้รับข้อความแจ้งเตือนปรากฎขึ้นด้านบนของหน้าเว็บ YouTube ว่า การสนับสนุนเว็บบราวเซอร์ทีใช้อยู่ (IE6) กำลังจะสิ้นสุดในเร็ววันนี้ ข้อความแจ้งเตือนดังกล่าวยังแนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้เว็บบราวเซอร์ตัวอื่นๆ อย่างเช่น Google Chrome, Internet Explorer 8 และ Mozilla Firefox 3.5 แทน ที่มา: http://www.arip.co.th/news.php?id=409512

http://www.no-poor.com/

เผย10อันดับขายตรงแห่งปี

ส่วนบริษัทขายตรง MLM ที่มียอดขายสูงสุด 10 อันดับ ...หนังสือพิมพ์รายปักษ์ “ตลาดวิเคราะห์”ได้เก็บรวบรวมตัวเลขจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยนำเอาผลประกอบการในปี 2549 เปรียบกับปี 2550 และยังมีการประมาณการผลประกอบการในปี 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งประเมินจากการสอบถามแต่ละบริษัทขายตรง โดยยอดขายปี 2551 ที่ได้มา แต่ละบริษัทขายตรงยังไม่ได้รายงานตัวเลขอย่างเป็นทางการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแต่อย่างใด สำหรับ 10 อันดับ บริษัท ขายตรง MLM ที่มียอดขายสูงสุด
1)บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 9,102,679,124 บาท ส่วนปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 9,533,950,045 บาท และปี 2551 ตัวเลขยอดขายประมาณการอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท,
2) บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 3,212,560,314.14 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3,693,951,285.59 บาท และในปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท
3) บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด โดยยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 1,954,392,397.80 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2,048,501,360.43 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 2,900 ล้านบาท,
4) บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 1,233,169,040.80 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,809,895,879.93 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท,
5) บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 1,006,882,334 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,045,803,964 บาท และปี 2551 ประมาณการอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท 6) บริษัท สุพรีเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 779,322,512.77 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 749,477,028.28 บาท และปี 2551 ประมาณการยอดขายอยู่ที่ 900 ล้านบาท
7) บริษัท เอวอน คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 932,429,457 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 685,953,978 บาท ส่วนปี 2551 ยังไม่สามารถประมาณการยอดขายได้
8) บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ปี 2549 ยอดขายอยู่ที่ 408,176,682 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 551,730,024 บาท ส่วนปี 2551 มีการประมาณการยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยตัวเลขอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท เรียกว่า เติบโตขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี 2550 ซึ่งเมื่อรายงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว จะต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเป็นตัวเลขที่แท้จริง ตามที่บริษัทได้ประมาณการไว้หรือไม่
9) บริษัท นูไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 310,336,914 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 335,130,288 บาท และปี 2551 ประมาณการยอดขายลดลงอยู่ที่ 300 ล้านบาท
10) บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 282,271,967.76 บาท ปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 253,686,955.03 บาท ส่วนปี 2551 ประมาณการยอดขายอยู่ที่ 291 ล้านบาท
ด้านบริษัทขายตรงชั้นเดียว SLM ที่มีผลประกอบการดี 4 อันดับ ประกอบด้วย บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (มิสทิน) ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 4,293,975,041 บาท ส่วนปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4,875,953,038 บาท
ถัดมาเป็นของบริษัท ลุกซ์ รอยัล (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2549 อยู่ที่ 606,328,743 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 633,890,367 บาท,
บริษัท เอสเอส ยูพี กรุงเทพ 1991 จำกัด (คิวท์เพรส) ปี 2549 ยอดขายอยู่ที่ 490,626,147.33 บาท ปี 2550 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 590,040,566.60 บาท
และบริษัท ยูสตาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอดขายปี 2549 อยู่ที่ 187,460,067.72 บาท ส่วนปี 2550 ลดลงอยู่ที่ 170,616,491.52 บาท
ส่วนบริษัทขายตรงตามแผนธุรกิจแบบไบนารี่ (ไตรนารี่) นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถจัดอันดับได้
ที่มา ตลาดวิเคราะห์ เรียบเรียงโดย 12RCD

http://www.no-poor.com/

คาดเทรนด์ธุรกิจขายตรงเหนื่อย “กิฟฟารีน”เสริมแกร่งสมาชิก-สยายปีกบุก ตจว.

“แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์” นายกสมาคมขายตรง ชี้เทรนด์อุตสาหกรรมไม่หมู หางเลข ศก.ทุบกำลังซื้อ คาดยอดขายไม่ไหลลื่น “กิฟฟารีน” ปรับแผนรับมือเร่งเสริมความแกร่งสมาชิกนักขายดึงยอด เน้นรักษาฐานลูกค้าเป็นหลัก ชูวิทยุชุมชนนำร่องขยายฐานเจาะต่างจังหวัดแพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด และนายกสมาคมขายตรงไทยกล่าวว่า จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นทั่วโลกคาดว่าจะส่งผลต่อประเทศไทยและหลายๆ ธุรกิจ รวมทั้งธุรกิจขายตรง และแม้ว่าคนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะเข้าสู่ธุรกิจขายตรงเพื่อหารายได้เสริมหรือทำเป็นอาชีพประจำมากขึ้น แต่ปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้กำลังซื้อลดลง และการระมัดระวังการจับจ่ายของผู้บริโภคก็อาจจะทำให้ยอดขายเติบโตได้ไม่มากนัก
“ปีหน้าธุรกิจขายตรงโดยรวมมีแนวโน้มจะขยายตัวประมาณ 5-7% ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการแต่ละรายรวมทั้งสมาชิกนักขายก็จะต้องปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”
แพทย์หญิงนลินีกล่าวว่า สำหรับกิฟฟารีนเองที่ผ่านมาก็ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2551 และคาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 6-7% จากเป้าที่ตั้งไว้ 10% อย่างไรก็ตามสำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของกิฟฟารีนจากนี้จะให้ความสำคัญกับการให้ความรู้และอบรมสมาชิก นักขายเกี่ยวกับสินค้ามากขึ้น
“ปีหน้าเราอาจไม่ได้ลงทุนสร้างอะไรใหม่ๆ เพราะปีนี้ลงทุนไปเยอะและครอบคลุมทั้งโรงงานใหม่ ศูนย์ธุรกิจขนาดใหญ่ ศูนย์เซ็นเตอร์ที่สำหรับจัดประชุมของแต่ละภูมิภาค เรามีครบหมดแล้ว”
นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาดกล่าวด้วยว่า แนวทางหลักๆ จะเน้นรักษาฐานลูกค้าสมาชิกเดิมและเพิ่มความแข็งแกร่งของทีมขายส่วนแผนรีครูตสมาชิกใหม่คงต้องรอดูสถานการณ์ไตรมาสแรก และเบื้องต้นยังไม่มีการปรับงบฯการตลาดจากเดิมที่วางไว้ 80-100 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายฐานลูกค้า ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่และยังมีกำลังซื้อ จากปัจจุบันลูกค้า หลักยังเป็นกรุงเทพฯและปริมณฑล 60% ต่างจังหวัด 40% เบื้องต้นใช้การทำตลาดผ่านสื่อวิทยุชุมชนเป็นตัวนำร่อง จากนั้นเพิ่มเครื่องมือทางการตลาดใหม่ๆ เข้าสู่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งที่ผ่านมาโฆษณาเป็นสื่อการตลาดสำคัญ ทำให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์ง่ายขึ้น
“ปกติแต่ละปีกิฟฟารีนจะมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดประมาณ 20-30 รายการ และปัจจุบันมีสินค้ากว่า 2,000 รายการ ซึ่งสินค้าทำรายได้หลักอยู่ในหมวดสุขภาพและความงาม พฤติกรรมผู้บริโภคจากนี้เน้น ให้ความสำคัญกับคุณภาพและราคาโดยเฉพาะโฟกัสราคามากขึ้น โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีโอกาสการเติบโตค่อนข้างมาก เนื่องจากผู้บริโภคสามารถซื้อซ้ำถี่กว่ากลุ่มเครื่องสำอาง บริษัทมีแผนเพิ่มสินค้าไซซ์เล็กมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกลูกค้าและสร้างประสบการณ์การทดลองใช้สินค้าของลูกค้าใหม่ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาปรับหมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารขนาด 30 แคปซูล และ 15 แคปซูล จากปกติ 60 แคปซูล เป็นต้น” นายพงศ์พสุกล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ 29 ธันวาคม 2551

http://www.no-poor.com/

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เปิดกลยุทธ์ "กิฟฟารีน" ถึงจุดเปลี่ยน ตอบโจทย์ให้ตรงใจผู้บริโภค

จากมูลค่าตลาดขายตรงที่มีกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทำให้ขายตรงเป็นหนึ่งในไม่กี่ธุรกิจที่เริ่มคึกคักมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ในวันนี้จะพบเห็นผู้ประกอบการรายเก่าและใหม่ ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอกต่างก็งัดกลยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ เข้าสู้ เพื่อหวังที่จะเข้ามาแชร์ตลาดขายตรงให้ได้มากที่สุดและเมื่อกล่าวถึงธุรกิจขายตรงแล้ว ชื่อของ “พ.ญ.นลินี ไพบูลย์” ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “กิฟฟารีน” ย่อมเป็นยอมรับ จากฐานะหนึ่งในผู้นำตลาดขายตรงหลายชั้น หรือ MLM : Multi-level Marketing ของเมืองไทย
กิฟฟารีนถูกก่อตั้งขึ้นในยุคฟองสบู่เศรษฐกิจ หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ซึ่ง พ.ญ.นลินี บอกว่า การสร้างแบรนด์ไทยในยุคนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะแบรนด์ขายตรงเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฉะนั้นโจทย์ทางธุรกิจของกิฟฟารีนที่ต้องตีฝ่ามีอยู่ 2 ประการ คือ1 – จะทำอย่างไรให้คนไทยยอมรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ใหม่ และ 2 – จะทำให้บริษัทเปิดใหม่ผ่านพ้นภาวะวิกฤตเศรษฐกิจไปได้อย่างไรแต่จากประสบการณ์เคยทำธุรกิจขายตรงแบรนด์ “สุพรีเดิร์ม” มาก่อน ทำให้ทราบว่าจริงๆ แล้ว เหตุผลที่คนไทยไม่มีความมั่นใจในแบรนด์ไทยนั้น เป็นเพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ดี จึงให้ความเชื่อมั่นต่อสินค้าแบรนด์ต่างประเทศมากกว่า พ.ญ.นลินี จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์กิฟฟารีนโดยการใช้หลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ นำเสนอข้อมูลสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภคในขณะเดียวกันก็หันมาปรับเปลี่ยนวิธีการขายตรงในรูปแบบใหม่ จะไม่เป็นการยัดเยียดขายสินค้าให้กับผู้บริโภค เพื่อสร้างยอดขายของนักธุรกิจอิสระ แต่จะเป็นภาพของการเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกันระหว่างนักธุรกิจอิสระกับบริษัท ให้ผลตอบแทนตามความยุติธรรมที่มาจากการใช้สินค้าหรือแนะนำสินค้าจริงๆนี่คือกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในยุคเริ่มแรกของกิฟฟารีน ซึ่งต้องยอมรับว่าสามารถทำให้กิฟฟารีนกลายมาเป็นบริษัทขายตรงของคนไทยที่ประสบความสำเร็จทางด้านตลาดเป็นอย่างมากแต่เมื่อถึงวันนี้ต้องบอกว่ากิฟฟารีนได้ก้าวผ่านมาสู่ยุคที่สองของการทำธุรกิจขายตรงแล้ว ฉะนั้นคำถาม คือ จากนี้ไปกิฟฟารีนจะเดินไปในทิศทางไหน แล้วจะปรับเปลี่ยนยุทธวิธีขายตรงเป็นอย่างไร“เรายังคงไม่หยุดที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายของการเป็นผู้นำตลาดขายตรงหลายชั้น ซึ่งในตอนนี้กิฟฟารีนเติบโตขึ้นมาก การดูแลองค์กรขนาดใหญ่ก็จะเป็นอะไรที่ต้องระมัดระวังและรอบคอบ”ดังนั้นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่จะนำมาใช้ต่อจากนี้ก็จะเป็นการผสมผสานหลายๆ องค์ประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความสามารถหรือศักยภาพของนักธุรกิจอิสระให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น หรือการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ ทั้งการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการดูแลผลิตภัณฑ์เดิม เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ครบถ้วน“ความยากของธุรกิจขายตรงในยุคนี้ คือ ผู้ประกอบการจะต้องตีโจทย์ความคิดของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคในวันนี้เปลี่ยนไป มีสื่อหลากหลายแขนงให้เลือกดูเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นการตัดสินใจจะเลือกซื้อสินค้าก็จะเป็นอะไรที่ต้องมาสู้กันที่ความเหนือกว่า และความแตกต่าง”ปัจจุบันกิฟฟารีนมีสมาชิกอยู่ประมาณ 4,300,000 คน แบ่งเป็นนักธุรกิจอิสระประมาณ 300,000 คน โดยในปี 2550 มียอดขายอยู่ที่ 3,900 ล้านบาท ในขณะที่ปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 10% หรือประมาณ 4,300 ล้านบาท“การปรับตัวของกิฟฟารีนนั้น ในปีนี้จะเน้นให้ความสำคัญกับการเทรนนิ่งนักธุรกิจอิสระที่จะเข้ามาทำธุรกิจด้วยกัน ให้ทำงานเป็น เป็นแบบมืออาชีพจริงๆ เพราะสนามแข่งขันในปี 2551 นี้สูงมาก ต้องเรียกว่าเป็นสงครามการซื้อใจผู้บริโภค ส่วนตัวสินค้าก็ต้องปรับให้เอื้อต่อตลาดในยุคนี้ด้วย นั่นคือ มีราคาที่ไม่สูงเกินไป และมีรายละเอียดเหตุผลในข้อดีของการใช้งานอย่างชัดเจน”พ.ญ.นลินี กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์การทำธุรกิจขายตรงให้ประสบความสำเร็จนั้น ประการแรกต้องเข้าใจเนื้องาน ซึ่งหมายถึง ตัวรูปแบบของธุรกิจ วิธีการทำธุรกิจที่นักธุรกิจอิสระเข้ามาทำแล้วประสบความสำเร็จได้จริง มีรูปธรรมเห็นได้ชัดเจน ทำไม่ยากจนเกินไปและอีกประการ ต้องเข้าใจคน ธุรกิจขายตรงที่ประสบความสำเร็จในแต่ละประเทศจะต้องมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน เพราะแนวคิดของคนและขนมธรรมเนียมจะแตกต่างกัน ฉะนั้นการทำธุรกิจขายตรงไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหน คุณจะต้องเข้าใจคนในประเทศนั้นๆ เสียก่อน“ถ้าถามว่าคีย์ซัสเซคของกิฟฟารีนคืออะไร ก็มองว่าน่าจะมี 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. สินค้าของกิฟฟารีนสามารถขายตัวมันเองได้ ผู้บริโภคจำนวนมากสามารถซื้อสินค้าซ้ำอีกได้ และ 2. วิธีการบริหารจัดการคนที่อยู่ในเครือข่ายธุรกิจให้ได้รับในสิ่งที่เขาพึงพอใจ ซึ่งทำให้คนเหล่านี้มีความจงรักภักดีต่อกิฟฟารีนจริงๆ” พ.ญ นลินี กล่าวสรุปทิ้งท้ายข้อมูลจากนิตยสาร SMEs Today http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9510000033964

http://www.no-poor.com/

แรงงานไทยปี 2552 ... เลิกจ้าง 200,000 คน รายได้ลดประมาณ 10,000 ล้านบาท

ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ ระหว่างปี 2552 คงประสบปัญหาในการหาตำแหน่งงาน ซึ่งจะทำให้อัตราการว่างงานของไทยพุ่งขึ้นจากร้อยละ 1.4 และร้อยละ 2.4 ในเดือนมกราคม 2552 เข้าหาระดับร้อยละ 4.5-5.9 ตอนสิ้นปี 2552 สูงกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอลง และมีการลดการจ้างงานไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ นอกจากแรงงานในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างงานแล้ว ยังมีแรงงานไทยในต่างประเทศอีกประมาณ 5.17แสนคนในปี 2551 ที่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทั่วทุกภูมิภาคของโลก และปัญหาการว่างงานที่ยังคงเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้ความต้องการแรงงานจากต่างประเทศลดลง
สำหรับแนวโน้มแรงงานไทยในต่างประเทศปี 2552 อาจชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจำนวนแรงงานไทยทั้งหมดในต่างประเทศ น่าจะลดลงจากปีก่อนที่คาดว่ามีประมาณ 5.17 แสนคน เนื่องจากจำนวนแรงงานที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง ขณะเดียวกันอาจมีแรงงานไทยในต่างประเทศที่เดินทางกลับประเทศเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องจากยังมีปัจจัยลบที่จะยังกดดันภาวะการทำงานในต่างประเทศของแรงงานไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัญหาที่สืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก
ซึ่งทำให้เป็นที่คาดหมายว่าเศรษฐกิจโลกอาจมีแนวโน้มถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจโลกอาจหดตัวลงมากกว่าที่ IMF ได้คาดการณ์ไว้ล่าสุดว่าจะหดตัวลงประมาณร้อยละ 0.5-1.0 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศปลายทางที่สำคัญของแรงงานไทย ก็คาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงแรงเช่นกัน ซึ่งย่อมจะหมายถึงปัญหาการว่างงานในประเทศเหล่านั้น ที่คงจะทวีความรุนแรงขึ้นอันอาจนำมาสู่การกำหนดมาตรการและเพิ่มเงื่อนไขการจ้างงานเพื่อลดจำนวนแรงงานต่างชาติ ท้ายที่สุดแล้ว คงจะมีผลต่อเนื่องให้ความต้องการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ รวมถึงแรงงานไทยลดลงตามไปด้วย
ภายใต้มุมมองดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า แรงงานที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศในปี 2552 อาจจะมีจำนวน 152,303-159,748 คน ลดลงประมาณร้อยละ 1.3-5.9 โดยเป็นการติดลบมากขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ 0.04 ในปี 2551 และอาจจะทำให้มีแรงงานไทยเดินทางกลับประเทศเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนแรงงานไทยทั้งหมดในต่างประเทศในปีนี้ อาจมีจำนวน 4.69 แสนคน ลดลงร้อยละ 9.2 จากที่คาดว่าน่าจะมีประมาณ 5.17 แสนคนในปี 2551
สำหรับผลกระทบที่จะตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจะส่งผลให้รายได้ส่งกลับของแรงงานไทยในต่างประเทศอาจลดลงประมาณร้อยละ 8.3-15.8 จากจำนวน 6.3 หมื่นล้านบาทในปี 2551 ทำให้รายได้หายไปประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งการลดลงของรายได้ส่งกลับฯ ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อจีดีพีประมาณร้อยละ 0.06-0.11 และเป็นอีกปัจจัยถ่วงให้ดุลบริการ เงินโอน และบริจาค มีโอกาสเกินดุลลดลง จากปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2552 ที่คาดว่าจะหดตัวลง คงจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงตามไปด้วย
ข้อจำกัดของตลาดแรงงานต่างประเทศดังกล่าว ยังคาดว่าจะมีผลซ้ำเติมปัญหาการว่างงานในประเทศ โดยเฉพาะจากแรงงานไทยที่มีโอกาสถูกเลิกจ้างและเดินทางกลับประเทศสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 2 แสนคน ผลที่ตามมาก็คือ อัตราการว่างงานในประเทศมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 0.3 จากสิ้นปี 2551 ที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 1.4 และเมื่อผนวกกับปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่นำมาสู่การปรับลดกำลังการผลิตและลดจำนวนคนงาน
รวมถึงผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ในช่วงระหว่างปี 2552 ที่คงจะประสบปัญหาในการหาตำแหน่งงานเช่นกันนั้น คงจะทำให้อัตราการว่างงานของไทยพุ่งขึ้นจากระดับร้อยละ 1.4 ณ สิ้นปี 2551 และร้อยละ 2.4 ในเดือนมกราคม 2552 เข้าหาระดับร้อยละ 4.5-5.9 ณ สิ้นปี 2552 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าสมัยช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ที่ผลักดันให้อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นไปแตะร้อยละ 4.4 ในปี 2541
เป็นที่น่าสังเกตว่าแรงงานไทยที่เดินทางกลับประเทศดังกล่าว ยังเป็นกลุ่มที่ขาดหลักประกันทางสังคม
ขณะเดียวกัน ก็อาจต้องประสบกับภาระหนี้สินที่ต้องชดใช้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากคนงานไทยที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศส่วนใหญ่มักจะกู้ยืมเงินมาใช้เพื่อการเดินทาง ดังนั้น ภาครัฐจึงอาจต้องหามาตรการเพื่อรับมือและช่วยเหลือแรงงานกลุ่มนี้ด้วย เพื่อป้องกันปัญหาสังคมที่อาจจะตามมา
ที่มา:http://www.ess.co.th/id_board.php?qid=752

http://www.no-poor.com/

แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง 2552

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ธุรกิจส่วนใหญ่ประสบกับภาวะชะลอตัว บางธุรกิจมีทิศทางถดถอยตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดส่งออกในสัดส่วนที่สูง เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ขณะที่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น เหล็ก ข้าว ยางพารา ก็ได้รับผลกระทบทั้งจากอุปสงค์ที่หดตัวและราคาที่ตกต่ำลงอย่างมาก ส่วนสินค้าที่ขึ้นอยู่กับกิจกรรมด้านการลงทุน เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและอุปกรณ์ ต่างหดตัวลงตามภาวะการลงทุนของประเทศ สำหรับในภาคบริการ หลายธุรกิจประสบปัญหา โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมและสายการบิน ที่เผชิญมรสุมหลายด้านทั้งวิกฤตเศรษฐกิจโลกถดถอย ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ และการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และจากปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบรุนแรงในวงกว้างนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจที่พึ่งพาตลาดผู้บริโภคในประเทศ อย่างเช่น ตลาดรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนธุรกิจค้าปลีกด้วยเช่นกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์สถานการณ์ของธุรกิจไทย และแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
จุดเริ่มของการฟื้นตัว … ภาพที่แตกต่างในแต่ละธุรกิจแม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดไปแล้วในไตรมาสที่ 1/2552 ที่จีดีพีของประเทศหดตัวลงถึงร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นความถดถอย (รายไตรมาส) ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจโดยรวมแล้วบ่งชี้การปรับตัวดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แม้จะยังเป็นภาวะที่เศรษฐกิจหดตัว แต่ก็มีอัตราลบที่ชะลอลง อย่างไรก็ตาม ภาพของแต่ละธุรกิจนั้นมีความแตกต่างกันไป บางธุรกิจเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว แต่บางธุรกิจก็ยังคงเผชิญปัญหาที่หนักหน่วง โดยภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน มีทิศทางที่สำคัญ ได้แก่
 การกลับมาสะสมสินค้าคงคลัง (Restocking) ของผู้ผลิตในต่างประเทศ อุตสาหกรรมส่งออกบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีทิศทางดีขึ้นโดยหดตัวในอัตราที่ชะลอลงในไตรมาสที่ 2/2552 ที่มา :http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=loykratong&month=11-07-2009&group=4&gblog=212

http://www.no-poor.com/

ยูทูบ (YouTube)

จะเลิกสนับสนุนผู้ใช้บราวเซอร์ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ 6 (Internet Explorer 6) ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในโลกเทคโนโลยีของเว็บที่เร็วขึ้นทุกวัน ทำให้นักพัฒนาของยูทูบไม่สามารถซัพพอร์ตเว็บบราวเซอร์รุ่นเก่าอย่าง IE6 ได้อีกต่อไป
ก่อนหน้านี้เว็บไซต์สายพันธุ์ WEB 2.0 อย่าง Digg ก็ได้ประกาศแผนเลิกซัพพอร์ต IE 6 ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ผู้ใช้ IE6 สร้างแทรฟฟิกให้กับทางเว็บไซต์ประมาณ 5% และมีแค่ 1% ที่โพสต์ข่าว โหวต และคอมเมนต์ ซึ่งไม่คุ้มกับการพัฒนาที่ยังต้องซัพพอร์ตผู้ใช้บราวเซอร์กลุ่มนี้ต่อไป
ก่อนหน้านี้เว็บไซต์สายพันธุ์ WEB 2.0 อย่าง Digg ก็ได้ประกาศแผนเลิกซัพพอร์ต IE 6 ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ผู้ใช้ IE6 สร้างแทรฟฟิกให้กับทางเว็บไซต์ประมาณ 5% และมีแค่ 1% ที่โพสต์ข่าว โหวต และคอมเมนต์ ซึ่งไม่คุ้มกับการพัฒนาที่ยังต้องซัพพอร์ตผู้ใช้บราวเซอร์กลุ่มนี้ต่อไป ล่าสุด Google ได้ตัดสินใจที่จะเลิกซัพพอร์ตผู้ใช้ที่เยี่ยมชม YouTube ด้วย IE6 เช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้ IE6 อ้างว่า พวกเขาได้รับข้อความแจ้งเตือนปรากฎขึ้นด้านบนของหน้าเว็บ YouTube ว่า การสนับสนุนเว็บบราวเซอร์ทีใช้อยู่ (IE6) กำลังจะสิ้นสุดในเร็ววันนี้ ข้อความแจ้งเตือนดังกล่าวยังแนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้เว็บบราวเซอร์ตัวอื่นๆ อย่างเช่น Google Chrome, Internet Explorer 8 และ Mozilla Firefox 3.5 แทน ที่มา: http://www.arip.co.th/news.php?id=409512

http://www.no-poor.com/

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มือบริหารขายตรง''กิฟฟารีน'' พ.ญ. นลินี ไพบูลย์


เธอได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมการขายตรงไทย ( TDSA ) เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2549 ที่ผ่านมาและยังเป็น 1 ใน 10 ของนักธุรกิจสตรีไทยที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง นักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2549 พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด หรือ หมอต้อย ผันชีวิตจากอดีตหมอสูตินารี มาเป็นนักธุรกิจขายตรงระดับพันล้าน โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี

หลัง จากการเปิดคลินิกนอกเวลาแห่งแรกที่ย่านห้วยขวางและได้เปลี่ยนจากคลินิกรักษา โรคทั่วไป มาเป็นคลีนิครับปรึกษาเรื่องความงาม เธอเริ่มจากการรับยาจากหมอท่านอื่นมาขายต่อรวมทั้งดัดแปลงสูตรเพื่อให้ คุณภาพ จนเมื่อมีลูกค้าให้การตอบรับมากยิ่งขึ้น จึงได้คิดขยับขยายช่องทางการตลาด และนับเป็นจุดเริ่มของเธอช่วงแรกหมอตั้งใจจะขายไปสู่ช่องทางขายปลีก แต่เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่นหากจะเอาสินค้าไปวาง เช่นต้องมีค่าแรกเข้า ค่าโฆษณา และต้องมีสต๊อกสินค้าชัดเจน คิดแล้วเป็นจำนวนเงินนับสิบล้านบาท แล้วเราจะเอาเงินมาจากไหน

แต่ หลังจากที่ได้คำแนะนำเรื่องการขายตรงจากเพื่อน เธอพบว่าวิธีนี้นอกจากจะเป็นการช่วยกระจายสินค้าและบริการ ส่วนต่างที่ไม่ต้องจ่ายให้กับห้างร้าน ยังมาเป็นเงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้ทำหน้าที่ขายตรงแทน จึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ โดยร่วมกับสามี บุกเบิกธุรกิจขายตรงในชื่อว่า สุพรีเดอร์มศึกษาและทำอย่างจริงจังนานอยู่ 9 ปี แต่หลังจากเลิกกับสามี หมอต้อยจึงได้แยกออกสร้างอาณาจักรธุรกิจขายตรง ในชื่อว่า กิฟฟารีน ด้วยเงินทุนที่ติดตัวมาขณะนั้น 100 ล้านบาทเพียงปีแรกกิฟฟารีนก็ทำเป้ายอดขายทะลุ 348 ล้านบาท จนสินค้าขาดตลาดไม่พอจำหน่าย ก่อนจะไต่สู่ยอดขายระดับพันจนมาเป็น 2,600 ล้านบาทในปี 2547 และ, 2,890 ล้านบาท ในปี 2548 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 10.5% และในปี 2549 คาดว่าจะขายได้ตามเป้าจากที่วางไว้16% ในจำนวน 3,300 ล้านบาท โดยบริษัทเพิ่งฉลองยอดขายทะลุ 3,000 ล้านบาท

เมื่อ เดือนกันยายนที่ผ่านมาหรือหลังจากที่บริษัทตั้งมาได้ 10 ปีเศษความสำเร็จของกิฟฟารีน มาจากการวางโมเดลธุรกิจของความต่าง ( differentiation )ที่โดนใจ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งการวางโปรดักซ์และบริการที่เข้าถึง-ครอบคลุมทุกเป้าหมาย อันเนื่องจากการให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลลูกค้า และการทำตลาดในเชิงบูรณาการ ผ่านการซื้อขายทางอินเตอร์เน็ท หรือการตั้งแผนกR&D นำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้กับกระบวนการผลิต เพื่อให้ราคาปลายทางเป็นที่ยอมรับของลูกค้าแต่เหนืออื่นนั้น ก็คือการที่เธอสามารถบริหารโครงข่ายใยแมงมุม ตัวแทนขายตรงที่มีมากถึง 4.08 ล้านคน

พ.ญ. นลินีเคยกล่าวว่า ความจริงแล้วในด้านวัตถุดิบ คุณภาพและราคากิฟฟารีนไม่ได้แตกต่างไปจากสินค้าในตลาดเลย แต่ที่ให้ความสำคัญ ก็คือผลตอบแทนที่จ่ายให้กับฝ่ายขาย ซึ่งได้เอางบประมาณการตลาด ค่าใช้จ่ายในช่องทางขายปลีกมาจ่ายคืนกลับไปแก่ตัวแทนขายสินค้า เพราะเราถือว่าคนเหล่านี้เป็นหุ้นส่วน มีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายผู้บริโภค จึงมีส่วนในการรับรู้ทั้งรายได้ผลประกอบการ กำไรและค่าใช้จ่ายต่าง ๆของบริษัท ที่อยากให้แฮปปี้กับการทำงานกันและการเพิ่มเครือข่ายขายตรง ที่เห็นชัดอีกทางก็คือการสื่อผ่านโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาในชุด เรียนหนังสือสูงแล้วมาทำงานนี้จะเหมาะกับหรือเปล่า, ชุดคนที่มีความรู้น้อยจะทำงานนี้ได้ไหม

หรือ ชุดเจ้าของกิจการมาทำงานตรงนี้ก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของกิจการได้ เหมือนกัน เพื่อสื่อว่าคนมีงานประจำหากรู้จักแบ่งเวลาหรือคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการ เสี่ยง ก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการโดยอาศัยความสามารถของตัวเองปัจจุบันกิฟฟารีนมี สมาชิกร่วม 4.08 ล้านคน แบ่งเป็นแม่ทีมที่ทำธุรกิจ จริง ๆ ถึง 3 แสนคน เทียบจากปีแรกที่มีสมาชิกขายตรงเพียง 5,000 คน พร้อมโรงงานแห่งใหม่ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ แลบบอราทอรี่ แอนด์ เฮลท์แคร์ จำกัด ซึ่งเธอบอกว่าสร้างไว้ก็เพื่อให้เป็นบ้านของสมาชิก ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหารตัวจริงของบริษัท. ไม่แปลกว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้กิฟฟารีน รุดพรวดด้วยยอดขายทยานกว่า 3,000 ล้านบาท

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ http://news.sanook.com/economic/economic_65731.php

http://www.no-poor.com/

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กิฟฟารีน 13 ปีชูธุรกิจเศรษฐี นักขาย TOP3 โกยรายได้ 50 ล้าน

"กิฟฟารีน" กระหึ่ม!ความสำเร็จครบ 13 ปี "หมอต้อย" ยิ้มร่าผลประกอบการรวมเกิน 30,000 ล้านบาท จ่ายนักขายทะลุ 12,000 ล้านบาท ปีนี้ชูคอนเซปต์ "Becoming Giffarine Millionaires" ก้าวสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้าน ชิงพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ควบประชาสัมพันธ์เชิงรุก 360 องศา เผย "TOP 3" นักขาย โกยรายได้ไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวบนเวที งานฉลองครบรอบ 13 ปี "Becoming Giffarine Millionaires" ก้าวสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้าน ณ ไบเทคบางนา เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ว่า สาเหตุที่ตั้งชื่องานเช่นนี้ว่า เนื่องจากคำว่า Millionaires หมายความว่าคนที่มีรายได้เกินหลักล้าน เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงตัวเลขแล้ว ใน 13 ปีที่ผ่านมา กิฟฟารีนมีตัวเลขที่น่าภูมิใจ บริษัทมียอดผลประกอบการรวมเกินกว่า 30,000 ล้านบาท มี่รายได้ที่มอบให้กับนักธุรกิจเกินกว่า 12,000 ล้านบาท และมี Millionaires คือผู้ที่ทำรายได้เกินหลักล้านขึ้นไป กว่า 1,000 ราย
"ความภูมิใจสูงสุดที่เราภูมิใจ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลข ไม่ใช่เพียงแค่สร้างเศรษฐีเงินล้าน แต่เราได้สร้างคนดีนับแสนคน คนไทยที่มีหัวใจที่จะให้ และมีโอกาสที่จะให้กับคนอื่นๆ และนี่คือความแตกต่างของธุรกิจเครือข่ายกับธุรกิจทั่วไป"
ทั้งนี้ท่ามกลางวิกฤตและความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะแย่ไปอีก 2 - 3 ปี แต่ตนคิดว่าด้วยความรู้สึกดังกล่าว ทำให้หลายคนฉุกคิดได้ว่า ชีวิตต้องดิ้นรน เพื่อสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่ทุกอย่างจะไม่ดีขึ้นแต่จะเลวร้ายลง และนี่คือโอกาสที่ดีของนักธุรกิจเครือข่ายทุกคน ที่สามารถเร่งสร้างรายได้ เพื่อเป็นหนึ่งในทำเนียบเศรษฐีเงินล้านของกิฟฟารีน
สำหรับในส่วนของบริษัท ได้เตรียมความพร้อมทั้งทางด้านกลยุทธ์ทางการตลาด และการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกแบบ 360 องศา ทั้งในกลุ่มของนักธุรกิจเครือข่ายกิฟฟารีน และในกลุ่มของผู้บริโภค โดยเฉพาะการให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relation Management) ในการทำแคมเปญโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาด้านการขยายงานบริการ ด้วยการเปิดศูนย์ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ทันสมัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ดีภายในงานดังกล่าว ยังมีการจัดเสวนาชี้แนวทางธุรกิจและเผนเคล็ดลับความสำเร็จร่วมกับซีอีโอชั้นนำอย่างใกล้ชิด ได้แก่ นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.ออล์ จำกัด (มหาชน) และ นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานบริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัทในเครือ
จากนั้นจึงเป็นการเปิดตัวนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กว่า 10 รายการ ทั้งในกลุ่มของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ก่อนจะเข้าสู่พิธีประดับเข็มเกียรติยศให้กับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นภาพแห่งความภาคภูมิใจที่สะท้อนการได้รับการเชิดชูเกียรติ และความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของกิฟฟารีน ร่วมด้วยการเปิดตัวผู้รับรางวัลบริหารองค์กรยอดเยี่ยม เอโวลูชั่น อะวอร์ดส์ มูลค่ากว่า 8,700,00 บาท โดยผู้ที่ได้รับรางวัลสูงสุดได้แก่ นายวิชิต บุญเพ็ง นักธุรกิจกิฟฟารีนระดับแกรนด์พาราไดซ์ ได้รับรางวัลเงินสด 1,000,000 บาท
ปิดท้ายด้วยการเปิดตัวแคมเปญการแข่งขันสร้างทีมงาน แรลลี่ รีวอร์ดส์ มูลค่ากว่า 5,400,000 บาท และการแข่งขันท่องเที่ยวต่างประเทศ จูเนียร์ มินิ แรลลี่ รีวอร์ดส์ ฮ่องกง และดูไบ รวมมูลค่ารางวัลทั้งหมดกว่า 20 ล้านบาท และกิจกรรมการแจกของรางวัลมากมาย
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน Top 3 เศรษฐีเงินล้านของกิฟฟารีน ได้แก่ ผู้บริหารระดับไดมอนด์ แกรนด์ พาราไดซ์ 3 รหัส โดยตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 3 รหัสได้รับรายได้จากกิฟฟารีนมากกว่า 50 ล้านบาท ได้แก่ คุณวีระยุทธ - คุณสำอางค์ ละออเอี่ยม คุณศุภร ธัญญวาส และ คุณณรงค์ศักดิ์ เพชโรภา อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 152 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2552

http://www.no-poor.com/

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กิฟฟารีน ธุรกิจออนไลน์

Bangkok--7 Oct--DC Consultants and Marketing Communications Dr. Nalinee Paiboon (third right), President of Giffarine Skyline Unity Co Ltd, with company’s executives Dr. Jaitip Paiboon (fourth right) and Dr. Juckrapong Paiboon (third left), recently opened Giffarine’s 700-million-baht new facilities in Nava Nakorn industrial promotion zone, Pathum Thani. Certified with ISO 9001 and GMP, the new plant hosts an advanced central laboratory and a research and development lab that are expected to give a tenfold boost to the company’s productivity. For more information, please contact: Giffarine Skyline Unity Co., Ltd Sarinya Sarasuddhi Montatorn Komutsakunee Tel. 02-6196070 ext 815-816 DC Consultants and Marketing Communications Ltd Dr. Wit Sittivaekin Korakot Prakobkit Patcharaporn Nipawattanawongsa Nitida Asawanipont Tel. 0-2610-2336/2386/2326 Nitida Asawanipont Tel. 0-2610-2326

ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.no-poor.com/

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ขายตรงต่างจากระบบพีระมิดอย่างไร?

ขายตรงต่างจากระบบพีระมิดอย่างไร?ขายตรง

ธุรกิจทำเงินพึงระวังข้อผิดพลาด ในการลงทุน

ประชาชน จำนวนมากได้ตกเป็นเหยื่อและสูญเสียเงินเป็นจำนวนหลายล้านบาทไปกับระบบ พีระมิด เหยื่อหลายรายรู้ว่าตนเองกำลังเล่นการพนัน (แต่หารู้ไม่ว่าตนกำลังจะตกหลุมพรางซึ่งวางไว้ก่อนแล้ว) หลายคนคิดว่าตนกำลังจ่ายเงิน
ในการก่อตั้งธุรกิจเล็กๆ ของตนเอง บุคคลเหล่านี้ถูกหลอกให้เข้าใจผิดว่าระบบพีระมิด ซึ่งเป็นระบบจอมปลอมนั้น เป็นระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย

จุดประสงค์ ของบทความนี้ ก็เพื่อช่วยให้ท่านหลีกเลี่ยงจากการตกเป็นเหยื่อของระบบพีระมิด ซึ่งเปรียบเหมือนระบบธุรกิจสุนัขจิ้งจอกในคราบลูกแกะ ที่พรางตัวเพื่อล่อหลอกนักลงทุนและพร้อมกันนั้น ก็หลบเลี่ยงกฎหมายนั่นเอง

ธุรกิจทำเงินระบบพีระมิดคืออะไร

ระบบ พีระมิดเป็นระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งคนเป็นจำนวนมากที่อยู่ระดับฐานพีระมิด จะต้องจ่ายเงินให้กับคนเพียง ไม่กี่คน ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุด และเพื่อจะได้รับกำไรจากการจ่ายเงินของสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาร่วม

การ เข้าร่วมในระบบพีระมิดนี้ ท่านอาจจะต้องจ่ายเงินในการลงทุนพอประ มาณ ไปจนถึงการจ่ายเป็นจำนวนหลายพันบาท สมมติว่า เงินจำนวน 10,000 บาท สามารถซื้อตำแหน่งได้จากฐานของพีระมิดส่วนแบ่ง 5,000 บาท เป็นของโปรโมเตอร์ที่อยู่ในระดับยอดของพีระมิด ถ้ามีผู้เข้าร่วมในระบบเต็มครบ 16 ช่องในระดับฐานของพีระมิด โปรโมเตอร์ก็จะรับเงินเป็นจำนวนถึง 160,000 บาท ส่วนท่านและคนในระดับฐานจะสูญเงินไปคนละ 10,000 บาท เมื่อโปรโม เตอร์ได้รับเงินแล้ว ช่องตำแหน่งของเขาจะหลุดออกไปและช่องในแถวที่สอง ก็จะเลื่อนขึ้นเป็นระดับยอดของพีระมิดแทน ทั้งสองคนนี้ก็จะได้ผลกำไร และเพื่อที่จะจ่ายให้สองคนบนยอดพีระมิดคราวนี้ ผู้ดำเนินธุรกิจจะต้องขยายฐานให้ใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า คือ 32 คน และดำเนินการรับสมาชิกใหม่ต่อไป

ในแต่ละครั้งที่ ระดับถัดไปก้าวขึ้นสู่ยอดของพีระมิด ต้องมีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นที่ฐานของพีระมิดเสมอ ซึ่งขนาดของแต่ละระดับจะใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ถ้ามีผู้เข้าร่วมจำนวนมากพอ ท่านและคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกับท่านอีก 15 คน ก็อาจจะก้าวขึ้นสู่จุดยอดของพีระมิด

อย่างไรก็ ตาม ท่านจะได้รับผลกำไรก็ต่อเมื่อมีคนใหม่เข้าร่วมอีก 512 คน โดยครึ่ง หนึ่งของคนกลุ่มนี้จะต้องจ่ายเงินกันคนละ 10,000 บาท ระบบพีระมิดนี้มีโอกาสจะล้มละลายลงก่อนที่ท่านจะก้าวขึ้นสู่จุดยอดของ พีระมิด การที่จะให้ทุกคนในพีระมิดได้รับผลกำไรนั้นจำเป็นที่จะต้องมีผู้เข้าร่วม อย่างไม่ขาดสาย แต่ความจริงแล้วคนที่จะเข้ามาร่วมระบบด้วยมักจะมีจำนวนจำกัด ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าร่วมระบบรายใหม่จึงมีโอกาสน้อยลงในการหาสมาชิกรายใหม่อันหมาย ถึงโอกาสอย่างสูงที่จะสูญเสียเงินที่จ่ายไปก่อนแล้

ธุรกิจทำเงินสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับระบบพีระมิด

1.ระบบพีระมิดเป็นระบบสูญเสีย ระบบพีระมิดยึดรากฐานจากการคำนวณอย่างง่ายๆ ผู้สูญเสียเป็นจำนวนมากจ่ายเงินให้กับผู้ได้เพียงไม่กี่คน

2. ระบบพีระมิดเป็นระบบหลอกลวงผู้เข้าร่วมในระบบพีระมิดจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เป็นผู้ที่กำลังหลอกลวงสมาชิกรายใหม่ที่รับสมัครเข้ามา จะมีคนเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่อาจจะเข้าร่วมระบบถ้าพวกเขาได้รับคำ อธิบายให้ทราบถึงข้อเสียเปรียบของระบบนี้

3.ระบบพีระมิดเป็นระบบที่ผิดกฎหมายการดำเนินระบบพีระมิดใดๆ มีการเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ธุรกิจทำเงินเหตุใดยังมีผู้ยินยอมจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมในระบบพีระมิด

ผู้ต้นความคิดระบบพีระมิดนั้นมีความสามารถในการใช้จิตวิทยาอย่างยิ่งการประชุมรับสมัครสมาชิกใหม่ โปรโมเตอร์จะสร้าง บรรยากาศที่เร้าใจอาศัยแรงกดดันภายในกลุ่มและคำสัญญาที่จะให้เงินตอบแทน อย่างง่ายดายโดยใช้ความโลภของมนุษย์และความกลัวที่จะสูญเสียโอกาสงดงามชักนำ ให้ผู้เข้าร่วมคล้อยตาม โดยโปรโมเตอร์จะพยายามหลีกเลี่ยงการตอบคำถามและข้อคิดเห็นต่างๆ จึงเป็นการยากมากที่ผู้เข้าร่วมประชุมจะรอดพ้นได้ นอกจากท่านจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าเป็นการวางพรางไว้ดักท่านเท่านั้น

ธุรกิจทำเงินระบบพีระมิด สุนัขจิ้งจอกในคราบลูกแกะ

นื่ องจากมีข้อบังคับทางกฎหมายที่ควบคุมอยู่ โปรโมเตอร์ในระบบพีระมิดจึงพยายามจะทำให้ระบบของเขาดูเหมือนว่าเป็นระบบการ ตลาดหลายชั้น ระบบการตลาดหลายชั้นเป็นการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งใช้ เครือข่ายของผู้จำหน่ายอิสระในการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อที่จะให้ดูมีลักษณะคล้ายคลึงกับระบบการตลาดหลายชั้น ระบบพีระมิดจะผลิตสินค้าขึ้นมาประเภทหนึ่ง และอ้างว่าตนเองทำธุรกิจโดยการขายสินค้าประเภทนั้นให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ระบบพีระมิดจะใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยหรือแทบจะไม่ใช้ความพยายามเลยในการขายสินค้าเหล่านั้น

หาก แต่จะได้รับผลกำไรจากการรับสมัครสมาชิกใหม่ และผู้จัดจำหน่ายใหม่จะถูกบังคับหรือชักนำให้ซื้อสินค้าเมื่อเริ่มสมัคร ตัวอย่างเช่น ท่านอาจจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ที่แทบจะไม่มีคุณค่าเลยเป็นจำนวน 10,000 บาท เพื่อที่จะเป็น “ผู้จำหน่าย” โดยผู้ที่รับสมัครท่านเข้ามาจะได้รับเงิน 5,000 บาท (คอมมิสชั่นร้อยละ 50) ส่วนอีก 5,000 บาท จะเป็นของผู้ที่อยู่ในระดับสุดยอดของพีระมิด (ในที่นี้หมายถึง “บริษัท”) โปรดสังเกตความคล้ายคลึงกันกับระบบพีระมิดดังได้อธิบาย มาแล้ว ถึงกระนั้นก็ตามก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะเปิดโปงระบบพีระมิดนี้ บ่อยครั้งที่ระบบพีระมิดมักจะเลือกสินค้าที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำและไม่มี ราคาตลาดที่ชัดเจน เช่นสินค้าที่มีคุณสมบัติเป็นที่น่าอัศจรรย์ผิดธรรมดา หรือมีสรรพคุณในการบำบัดรักษาอันน่าทึ่ง หรือสินค้าบริการ เช่นการบริการ พักผ่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยากที่จะบอกได้ว่ามีตลาดสำหรับระบบพีระมิด ก็คือ ท่านเรียนรู้วิธีแสวงหาโอกาสการหารายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ธุรกิจทำเงินระบบการตลาดหลายชั้น

โอกาส ในการหารายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมายระบบตลาดหลายชั้น เป็นระบบการ ขายปลีกที่ได้รับความนิยมกันในระบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยผู้จำหน่ายอิสระผู้หญิงและ ผู้ชาย โดยปกติแล้วจะจำหน่ายให้ลูกค้าถึงบ้าน มิใช่เป็นการจำหน่ายสินค้าภายในห้างร้านโดยพนักงานขายทั่วไป

ใน ฐานะที่เป็นผู้จำหน่ายท่านมีโอกาสที่จะจัดเวลาทำงานของตนเอง และได้รับรายได้จากการจำหน่ายสินค้าซึ่งผลิตขึ้นโดยบริษัทที่มีความมั่นคงใน โครงสร้างของระบบการตลาดหลายชั้น ท่านยังจะมีโอกาสในการสร้างและบริหารทีมการขายของท่านเองด้วยการรับสมาชิก เพิ่มเติม

การสร้างแรงบันดาลใจ การสร้างเสริม และฝึกอบรมสมาชิกเหล่านั้นในการจำหน่ายสินค้า ดังนั้นค่าตอบแทนของท่านจะรวมถึงเปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวมทั้งกลุ่มของท่าน และรายได้จากการขายปลีกของท่านเองวิธีการเช่นนี้ทำให้ระบบการตลาดหลายชั้น เป็นที่น่าสนใจสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินเพียงจำนวนเล็กน้อย

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 24-26 มิ.ย 52 http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413338048

หากคุณสนใจใช้ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีน(giffarine) เครื่องสำอาง อาหารเสริมที่มั่นใจได้ และี่สามารถพัฒนาเป็นรายได้เสริม ธุรกิจเสริม หรืออาชีพเสริม ปรึกษาเรา

www.no-poor.com

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนตกงานเมินทำ ขายตรง กิฟฟารีน ลุ้นขยายฐานทัพ

ไตรมาสแรกปีนี้ทั้งอุตสาหกรรมเติบโตเพียงแค่ 7% มีมูลค่าตลาดรวมเกือบ 60,000 ล้านบาทเท่านั้น จากปี 51 ที่มีมูลค่าตลาดรวม 56,000 ล้านบาท สมาชิกที่เป็นกลุ่มตกงานมีเพียง 10%...

พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีนสกายไลน์ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงภายใต้ชื่อ "กิฟฟารีน" เปิดเผยว่า จำนวนคนตกงานที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากอุตสาหกรรมการผลิตที่เลิกจ้างแรงงาน เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ไม่ได้ทำให้อุตสาหกรรมขายตรงมีจำนวนสมาชิกหรือนักขายอิสระเพิ่มขึ้นและเติบโตสวนทาง โดยไตรมาสแรกปีนี้ทั้งอุตสาหกรรมเติบโตเพียงแค่ 7% มีมูลค่าตลาดรวมเกือบ 60,000 ล้านบาทเท่านั้น จากปี 51 ที่มีมูลค่าตลาดรวม 56,000 ล้านบาท เพราะคนส่วนใหญ่ที่สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกขายตรง โดยเฉพาะ ในส่วนของกิฟฟารีนเป็นกลุ่มคนที่มีงานทำ มีเพียง 10% เท่านั้นที่เป็นกลุ่มคนตกงาน เนื่องจากคนตกงานทำธุรกิจประสบความสำเร็จลำบากเพราะไม่มีสังคม

ซึ่งแผนการทำตลาดของกิฟฟารีนปีนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะขยายธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจมากขึ้น ด้วยการเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้าในรูปของการให้ผู้สนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ลงทุนเปิดศูนย์ธุรกิจ "กิฟฟารีน ศูนย์ไลเซนส์" เพื่อรองรับการขยายเครือข่ายของสมาชิก จากเดิมที่ลงทุนเอง ตั้งเป้าปีแรกเปิดศูนย์บริการไลเซนส์ 10 แห่ง ปี 53 เปิดครบ 50 แห่ง และเปิดครบ 100 แห่งภายใน 5 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคาดว่า ยอดรายได้ รวมของกิฟฟารีนจะทะลุ 7,000-8,000 ล้านบาท จากปี 52 ที่ตั้งเป้าว่าจะทำยอดขายได้ถึง 4,500-4,600 ล้านบาท.

ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.no-poor.com/

ที่มา : http://www.thairath.co.th

ธุรกิจกิฟฟารีน

ผลิตภัณฑ์คุณภาพของกิฟฟารีน มีสินค้าหลากหลายชนิดให้เลือกใ้ช้ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น เครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้า ครีมบำรุงผิว โลชั่น แชมฟู น้ำหอม อาหารเสริมสมอง อาหารผิว และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในราคาที่เราสามารถซื้อใช้ได้

จำแนกผลิตภัณฑ์ออกเป็นกลุ่มได้ ดังนี้

แต่งหน้า
บำรุงผิวหน้า
บำรุงผิวกาย
บำรุงผม
น้ำหอม
สปา
อาหารเสริม
อาหาร
เครื่องใช้ในครัวเรือน
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก
ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก
ผลิตภัณฑ์สำหรับสุภาพบุรุษ
ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับรถยนต์
เครื่องฟอกอากาศ/ เครื่องกรองน้ำ
ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร

ข้อได้เปรียบทางธุรกิจ

ธุรกิจกิฟฟารีนหรือเสริมของเรา สามารถทำเป็นธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกว่าธุรกิจอื่นแล้ว เรามีข้อได้เปรียบดังนี้

1. เป็นธุรกิจที่ลงทุนต่ำ ด้วยค่าสมัครสมาชิกเพียงร้อยกว่าตลอดชีพ ถึงแม้อาจต้องลงทุนกับเครื่องมืออื่นเพื่อใช้งานการทำงานบ้าง ก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่สูง และไม่น่าหนักใจอย่างที่คิด
2. ไร้ความเสี่ยง เมื่อเทียบกับการลงทุนที่เป็นตัวเงิน มีแต่ได้กับได้อย่างไม่น่าเชื่อ
3. ไม่ต้องมีประสบการณ์ สามารถทำธุรกิจนี้ได้แม้คุณจะยังเป็นวัยเรียน
4. ทำง่าย ไม่จำเป็นต้องขาย เป็นธุรกิจที่คุณเพียงแต่เป็นผู้บริโภค และแนะนำสิ่งที่คุณประทับใจในตัวสินค้ากัับคนข้าง
5. ทำร่วมกับงานประจำได้ สามารถใช้เทคโนโลยีทำงานแทนเรา ไม่กระทบกับงานประจำ
6. เป็นธุรกิจส่วนตัวของเราเอง อิสระด้านเวลา และรายได้
7. สร้างรายได้เสริมได้อย่างมั่นคง และยาวนาน
8. เป็นมรดกทางธุรกิจให้กับบุตรหลานได้
9. ธุรกิจมีความมั่นคง ไม่ฉาบฉวย ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่

แนวคิดการทำธุรกิจกิฟฟารีน

1. ธุรกิจกิฟฟารีนหรือเสริมนี้เมื่อเริ่มทำ และต้องไม่เปลี่ยนแปลงวิถีการทำเนินชีวิตของเรา
2. ร่วมใช้สินค้ากิฟฟารีน โดยไม่จำเป็นต้องขาย
3. ทุกคนที่ร่วมทำธุรกิจกิฟฟารีน "มันเป็นธุรกิจของคุณเอง" และส่งมอบกิจการให้ลูกหลานได้
4. ต้องเริ่มทำธุรกิจเสริมด้วยความสะบายใจ และเต็มใจที่จะทำ
5. ทำธุรกิจเสริมด้วยความเชื่อมั่นที่จะประสบความสำเร็จ และผลตอบแทนของรายได้ที่คุ้มค่า
6. ธุรกิจกิฟฟารีนนี้ต้องไม่กระทบกับงานประจำที่เราทำอยู่
7. ธุรกิจกิฟฟารีนนี้ต้องสร้างรายได้ ให้กับทุกคนที่ทำ และมีความเป็นอยู่ด้านการเงินที่ดีขึ้น

ที่มาของรายได้กิฟฟารีน

1. รายได้ มาจากยอดใช้จ่ายของยอดกลุ่ม จะนำมาคำนวณเป็นเงินปันผลให้กับสมาชิก ซึ่งสมาชิกจะได้รับปันผลเป็น % ตามตำแหน่งที่ตนได้รับอยู่ในขณะนั้น
2. มีประกันอุบัติเหตุคุ้มครองสมาชิกในแต่ละตำแหน่ง
3. มีโบนัสเงินสด
4. มีการสะสมแต้มแลกเงินสด
5. ชิงรางวัลท่องเดี่ยวต่างประเทศ พร้อมเงินสดติดกระเป๋า
6. มีเงินเดือนและโบนัสประจำตำแหน่ง (เฉพาะบางตำแหน่ง)
ฯลฯ

แผนการตลาดธุรกิจกิฟฟารีน:

-เมื่อสมัครเป็นสมาชิกเพื่อร่วมทำธุรกิจเสริมกับเรา เราจะมีตำแหน่งให้ท่านก้าว ทั้งหมด 11 ตำแหน่ง
แต่ละตำแหน่งมีเงินปันผล , โบนัส และผลประโยชน์อื่น ๆ ตามลำดับั้นสามารถสร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจ เพิ่มสภาพคล่อง ความมั่นคงด้านการเงิน และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น รายได้มีความมั่นคงในระยะยาว หากท่านมีความมุ่งมั่น มานะพยายามและตั้งใจจริง ทำธุรกิจนี้สำเร็จแน่ "โอกาสมีให้เราเสมอ"

ทำไมต้องเลือกเรากิฟฟารีน

1. มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์เครือข่ายที่สมบูรณ์
2. สินค้ากิฟฟารีนมีจุดเด่น มีความหลากหลาย มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ
3. สินค้าของกิฟฟารีนอยู่ในราคาที่คนไทย สามารถซื้อใช้ได้
4. กิฟฟารีนมีมาตรฐานการผลิตเป็นที่ยอมรับระดับสากล
5. บริษัทมีแนวโน้ม และอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่้อง
6. ธุรกิจกิฟฟารีนนี้สามารถส่งมอบเ็ป็นมรดกให้กับคนในครอบครัวของเราได้
7. บริษัทมีกลยุทธ์ในการสนับสนุนการทำงานของสมาชิกในทุก ๆ ด้าน ทั้งการประชาสัมพันธ์สินค้าทางโทรทัศน์ และสื่ออื่น ๆ


ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.no-poor.com/